วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

จังหวัดสตูล จัดโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนในพื้นที่ อ.ท่าแพ

เมื่อเวลา ๑๓.๓๐ น. วันที่ ๒๐ มี.ค. ๕๗ ที่โรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์ อ.ท่าแพ จ.สตูล นายประยูร รัตนเสนีย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานเปิดกิจกรรมจังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร เพื่อนำบริการเชิงรุกไปบริการประชาชนให้ได้รับความสะดวกในการรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักพาณิชย์จังหวัด สำนักงานเกษตร สำนักงานขนส่ง สำนักงานพัฒนาชุมชน สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน และอีกหลายหน่วยงานเข้าร่วมโครงการ โดยมีการให้บริการคลินิกเกษตร จำหน่ายสินค้าราคาถูก แจกพันธุ์กล้าไม้ฟรีแก่ประชาชนที่สนใจ และสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล ยังได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคแจกจ่ายแก่ผู้สูงอายุ และคนพิการในพื้นที่อีกด้วย

โอกาสนี้ นายประยูร รัตนเสนีย์ ได้มอบทุนพัฒนาแก่เด็กชนบทในพระบรมราชูปถัมภ์และเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ จากนั้นได้เดินทางไปมอบน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภคแก่สถานีอนามัยกลางแป-ระ อ.ท่าแพ เพื่อไว้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่มาใช้บริการในพื้นที่

สำหรับปัญหาของชาวบ้าน หมู่ที่ ๑ อ.ท่าแพ ในขณะนี้ คือ น้ำดื่มน้ำใช้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการ ขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูร้อน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพเกษตรกร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของประชาชนในพื้นที่นี้ ซึ่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลได้รับฟังปัญหาและจะนำไปเสนอจังหวัด เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนในระยะยาวต่อไป



กนกพิชญ์ / ข่าว

จังหวัดสตูล เร่งขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหาครัวเรือนยากจน ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

วันนี้ (๒๑ มี.ค. ๕๗) ที่ห้องประชุมสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล นายประยูร รัตนเสนีย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้ประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาชนบทตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดสตูล ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เพื่อทำการบูรณาการการดำเนินงานทั้งระดับบุคคลและระดับชุมชน ยึดหลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนและภาคราชการ ร่วมแก้ไขปัญหาครัวเรือนยากจนให้พ้นเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน เกี่ยวกับรายได้ของครัวเรือนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ๓๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี โดยมีเป้าหมายในการยกระดับรายได้ครัวเรือนยากจนที่ตกเกณฑ์ ซึ่งน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีกระบวนงาน ๔ ขั้นตอน คือ ชี้เป้าชีวิต จัดทำเข็มทิศชีวิต บริหารจัดการชีวิต และ ดูแลชีวิต

สำหรับจังหวัดสตูล ในปี ๒๕๕๗ มีครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จำนวน ๒ ครัวเรือน อยู่ในอำเภอมะนังและอำเภอควนกาหลง ซึ่งทั้ง ๒ รายเป็นผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนทุกชุมชนเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความยากจน และสนับสนุนการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นทั้งในระดับอำเภอและระดับจังหวัดต่อไป



กนกพิชญ์ / ข่าว

จังหวัดสงขลา ซ้อมแผนเผชิญเหตุรักษาส่วนราชการ โดยจำลองสถานการณ์คนร้ายลอบวางระเบิด ศาลากลางจังหวัดสงขลา

ที่ ศาลากลางจังหวัดสงขลา อ.เมือง วันนี้ (21 มี.ค.) นายพิรสิญจ์ พันธุ์เพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานการ ฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ โดยจำลองสถานการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณด้านในศาลากลางจังหวัดสงขลาหลังใหม่ เพื่อฝึกซ้อมการเผชิญเหตุของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการแก้ไขสถานการณ์เหตุระเบิด การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และการติดตามสกัดจับคนร้าย ซึ่งทั้งหมดเป็นการจำลองเหตุการณ์เสมือนจริง โดยมีเจ้าหน้าที่จาก ปกครองจังหวัดสงขลา ,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา, อ.เมืองสงขลา, เทศบาลนครสงขลา, สมาคม มูลนิธิ และภาคีเครือข่าย และส่วนราชการทุกภาคส่วน เข้าร่วมฝึกซ้อมแผน และสังเกตการณ์กว่า 1,000 คน

นายพิรสิญจ์ พันธุ์เพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า การฝึกซ้อมตามแผนเผชิญเหตุดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคง ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ และเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองซึ่งมีสถานที่ราชการเป็นเป้าหมายหลัก จึงต้องฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ส่วนราชการและประชาชน ด้วยการฝึกซ้อมแผนเสมือนเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง โดยจำลองสถานการณ์ 2 สถานการณ์ คือ 1.มีการพบวัตถุต้องสงสัยบริเวณหน้าห้องประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา บริเวณด้านในอาคารศาลากลางจังหวัดสงขลาหลังใหม่ 2.เกิดเหตุรถจักรยานยนต์ระเบิดบริเวณลานจอดรถจักรยานยนต์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 9 คน รถจักรยานยนต์เสียหาย 12 คัน ซึ่งการซ้อมแผนเผชิญเหตุครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในสถานที่ราชการ และจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยต่างๆ ระดมกำลังพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์เข้าไปในพื้นที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่าง เต็มรูปแบบ


วิชราวุฒิ แกล้วกล้าหาญ//ข่าวจันจิรา บัวน้อย//ภาพ

ผู้ว่าฯสงขลา เรียกประชุมด่วนหลังตกเป็นข่าวมีขยะตกค้างสะสมมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ภายหลังรับทราบข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่นำหลักฐานตัวเลขปริมาณขยะมาชี้แจงจนได้ข้อสรุปที่ตรงกัน ผู้ว่าฯ มั่นใจ สงขลาไม่ได้มีปัญหาขยะตกค้างสะสมมากอย่างที่เป็นข่าว

วันนี้ (21 มี.ค.57) ที่ห้องประชุม CEO ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายพิรสิญจ์ พันธุ์เพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เรียกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลารวมทั้ง ผอ.สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 16 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมหารือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบการจัดเก็บขยะและของเสียภายในจังหวัดสงขลาหลังจากกรมควบคุมมลพิษ ได้สำรวจข้อมูลขยะมูลฝอยรายจังหวัด และระบุว่าจังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดที่มีขยะสะสมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้รับข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งของหน่วยงานผู้รับผิดชอบได้แก่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ภายในจังหวัด โดยแสดงหลักฐานข้อมูลตัวเลขขยะในจังหวัดสงขลาว่ามีจำนวนประมาณ 1,500 ตันต่อวัน มีแหล่งกำจัดขยะ4 แห่งสามารถกำจัดขยะได้วันละ1,000 ตัน ส่วนอีก 500 ตัน เป็นขยะในเขตองค์ปกครองท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลนอกชุมชน ซึ่งองค์ปกครองท้องถิ่นแต่ละแห่งมีวิธีการกำจัดขยะตามศักยภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงไม่มีปัญหาขยะตกค้างตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

สำหรับข้อมูลที่กรมควบคุมมลพิษแจ้งตามข่าวนั้น น่าจะเป็นการคำนวนปริมาณขยะในช่วงต้นปี 2556 ซึ่งขณะนั้น สงขลามีแหล่งกำจัดขยะที่ถูกต้องเพียงแห่งเดียว แล้วนำมาเปรียบเทียบกับปริมาณขยะในแต่ละวันจึงทำให้ดูเสมือนว่าสงขลามีขยะตกค้างจำนวนมาก รวมทั้งขณะนี้เทศบาลนครหาดใหญ่ได้ดำเนินการร่วมกับเอกชนในการตั้งโรงงานเผาขยะเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีศักยภาพกำจัดขยะได้วันละประมาณ 400 – 500 ตัน โดยจะเปิดดำเนินในเดือนพฤษภาคม2557 อีกด้วย

นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีข้อเสนอต่อกรมควบคุมมลพิษขอให้มาตรวจสอบระบบการจัดเก็บขยะของจังหวัดสงขลาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง และที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมภูมิภาคที่ 16 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา ลงไปตรวจแนะนำการจัดเก็บขยะขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย และในระยะยาวจะเร่งดำเนินการให้มีระบบกำจัดขยะมูลฝอยแบบเตาเผาเพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าแทนระบบฝังกลบให้ครบถ้วนครอบคลุมทุกพื้นที่ และสามารถรองรับขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมดในอนาคตด้วย

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้ยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ทุกหน่วยงานมีความสามารถในการจัดการปัญหาขยะอยู่ในระดับที่สามารถรับมือกับขยะได้ทั้งหมด จึงขอยืนยัน ว่าไม่ได้มีขยะมูลฝอยสะสมมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ อย่างที่เป็นข่าว

ยะลา เจ้าหน้าที่ทหารดูแลรักษาความปลอดครูเข้มที่โรงเรียนและด่านตรวจ หลังครูถูกยิงที่นราธิวาส

วันที่ 21 มี.ค.57 ที่โรงเรียนบ้านพงยือไร ต.บันนังสาเรง อ.เมือง จ.ยะลา จ.ส.อ.วิทยารัตน์ จันทาพูน รอง ผบ.ร้อย ทพ. 3316 หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน กรมทหารพรานที่ 33 นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารพราน จำนวน 8 นาย ดูแลรักษาความปลอดภัยครู ที่เดินทางมาสรุปผลการเรียนการสอนของเด็กนักเรียน ในช่วงปิดเทอม บริเวณรอบๆโรงเรียนบ้านพงยือไร และบริเวณจุดตรวจพงยือไรที่หน้าโรงเรียนอย่างเข้มงวด หลังเกิดเหตุคนร้ายยิงนางสมศรี ธัญเกษตร ครูโรงเรียนบ้านโคกมือบา ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เสียชีวิต 1 ราย ขณะเดินกลับบ้านพัก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา

ขณะที่นายอุสมาน เบ็นอับดุลเลาะห์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพงยือไร และนางสุวรรณา อืมือซา รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพงยือไร ได้เรียกประชุมครูและบุคคลากรทางการศึกษา เพื่อสรุปผลการเรียนการสอนของเด็กนักเรียน ในปีการศึกษาที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้มีการเน้นย้ำในมาตรการ การดูแลตนเอง ขณะเดินทางมาโรงเรียน จงอยู่ในความไม่ประมาท และอย่าเดินทางเพียงลำพัง ทั้งพร้อมทั้งติดต่อประสานเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ ในการดูแลรักษาความปลอดภัย ระหว่างเส้นทาง ไป-กลับโรงเรียนและภายในโรงเรียน หลังคนร้ายพยายามก่อเหตุกับครูซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอในช่วงเวลานี้



ยุทธนา จันทร์วิมาน ส.ปชส.ยะลา

สภาเกษตรกร 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระดมความคิดหาแนวทางการพัฒนาเกษตรในพื้นที่ สร้างเกษตรกรให้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง

วันที่ 20 มีนาคม 2557 (เวลา 10.00 น. ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธานการประชุมแนวทางการพัฒนาด้านการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการ (ห้องประชุม OR) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) โดยมีนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ และผู้แทนจากสภาเกษตรจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล) เข้าร่วมประชุมกว่า 30 คน

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.  กล่าวว่า อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพหลักของประเทศ และเป็นอาชีพหลักของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมอยากให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีอาชีพ และมีงานทำ โดยผมอยากให้พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่นำร่องการเกษตร ซึ่งจะได้เป็นโมเดลในการแก้ไขปัญหาความยากจน  ซึ่งทางสภาเกษตรจะต้องมาร่วมกันคิดให้เกษตรกรขับเคลื่อนไปข้างหน้า ศอ.บต.พร้อมที่จะหนุนเสริมและให้ปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตร โดยสภาเกษตรกรจะต้องหล่อหลอมและบ่มเพาะเยาวชนรุ่นใหม่ให้สนใจการเกษตรมากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าคนในพื้นที่มีองค์ความรู้ทางการเกษตร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรที่จะต่อยอดและถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน และผมก็เชื่อว่าพื้นที่แห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ น้ำดี ดินดี ปลูกอะไรก็ขึ้น เพียงแต่เราจะต้องมาร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรพื้นที่แห่งนี้เกิดประโยชน์ทางด้านการเกษตรให้มากที่สุด

ด้านนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาเชิงซับซ้อน วิธีการแก้ไขปัญหาอย่างหนึ่งคือการสร้างความเท่าเทียมกันให้เหมือนพื้นที่อื่นๆ ควรสร้างอาชีพ สร้างรายได้และควรทำอย่างไรที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกรมีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองและยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง จนเกิดความภูมิใจในอาชีพเกษตรกร สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือ วันนี้เราจะต้องมาช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่นาร้างให้เกิดประโยชน์ที่สุด ซึ่งทางสภาเกษตรจะต้องเข้าไปสำรวจพื้นที่นาร้างว่างเปล่าที่มีเกษตรกรเป็นเจ้าของกิจการว่าพวกเขาต้องการที่จะแปลงนาร้างให้เป็นอะไร อาจจะปลูกข้าวต่อ หรืออาจจะปลูกพืชผัก ทำปศุสัตว์ ซึ่งเราจะต้องสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาลุกขึ้นมาต่อสู้กับการประกอบอาชีพหลักของกับคนในพื้นที่ นอกจากนี้ เราจะต้องส่งเสริมยุวเกษตรกรที่เป็นลูกหลานของชาวเกษตรกรให้สานต่อกิจการของบรรพบุรุษในการเป็นต้นกล้าเยาวชนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาพื้นที่ทำกินในบ้านเกิดของตนเอง



สำนักสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ ศอ.บต.รายงาน

ททท.ภูเก็ต จัดกิจกรรม Phuket E-magazine Meet & Greet Fan Club

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 มี.ค. 57 ที่ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต นางสาวอโนมา  วงศ์ใหญ่ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต แถลงข่าวการจัดกิจกรรม Phuket E-magazine Meet&Greet Fanclub โดยมีสื่อมวลชนภูเก็ตเข้าร่วม

น.ส.อโนมา  กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต ได้จัดทำ Phuket E-Magazine ซึ่งเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ทางการตลาดในรูปแบบ Online Magazine ราย 2 เดือน มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ปีนี้ ก้าวย่างสู่ปีที่ 5 โดยเนื้อหาใน Phuket E-Magazine จะเป็นการประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว, โรงแรม, ร้านอาหารและแหล่งนันทนาการในจังหวัดภูเก็ต พังงา และจังหวัดใกล้เคียงเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาหาข้อมูลหรือกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้มีความต้องการมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ตมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการส่งเสริมการขายให้กับผู้ประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยวด้วย โดยยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ www.phuketmazine.com รวมทั้งดาวน์โหลดมากกว่า 10,000 view ต่อเดือน ในขณะเดียวกันสำหรับ www.facebook.com/phuketmagazine ที่มี 2 เพจ สำหรับไว้ให้แฟนคลับได้คอยติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต ส่วนอีกเพจจัดทำขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนสมาชิกแฟนเพจกว่า 21,000 ท่าน

เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของแฟนคลับและเสริมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ตจึงจัดกิจกรรมพาแฟนคลับมาเที่ยวและเรียนรู้วัฒนธรรมเพื่อให้เหล่าแฟนคลับได้ชื่นชมความงดงามของเกาะภูเก็ต พร้อมส่งมอบประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวให้แก่ผู้คนทั่วโลกโดยการแชร์และบอกต่อในช่องทาง Social Media ทั้งทาง Facebook, Instagram, Youtube และอื่น ๆ




ศาลแรงงานภาค 8 สัมมนาผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานให้ไปในทิศทางเดียวกัน

วันที่ 21 มี.ค. 57 ที่โรงแรมรอยัลภูเก็ตซิตี้ จ. ภูเก็ต นายจรัญ  เนาวพนานนท์  อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 8 เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานทั่วประเทศ  โดยมี นายนิคม  โอวาส ประธานผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานภาค 8  ดร.สมหมาย  ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานทั่วประเทศ เข้าร่วม

นายนิคม  กล่าวว่า ตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ได้กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาคดีในศาลแรงงานต้องมีองค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี ประกอบด้วย ผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างและกำหนดให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแรงงานเป็นไปโดยประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม ดังนั้น ผู้พิพากษาสมทบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการอำนวยความยุติธรรม สมควรต้องมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการทำงาน การจัดประชุมสัมมนาผู้พิพากษาสมทบทั่วประเทศที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงการรับฟังปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้การพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานให้เป็นไปในรูปแบบและทิศทางเดียวกัน และผู้เข้าร่วมประชุมสามารถนำความรู้และทักษะต่าง ๆ ที่ได้รับ ไปปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อไป

ศาลแรงงานเป็นศาลชำนาญพิเศษ แตกต่างจากคดีแพ่งและคดีอาญาทั่วไป มีวัตถุประสงค์ให้การดำเนินคดีเป็นไปโดยสะดวก ประหยัด รวดเร็ว เสมอภาคและเป็นธรรม การอำนวยความเป็นธรรมทางด้านแรงงานจะต้องคำนึงถึงสภาพการทำงาน ภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน ความเดือดร้อนของคู่ความทั้งนายจ้างและลูกจ้าง สิทธิประโยชน์ ตลอดจนสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมโดยทั่วไป ประกอบการพิจารณาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย ซึ่งในการดำเนินการพิจารณาคดีในศาลแรงงานจะต้องมีผู้พิพากษา ผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละเท่า ๆ กัน เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี ดังนั้น ผู้พิพากษาสมทบทุกท่าน ถือเป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ที่มีข้อพิพาทด้านแรงงาน  สำหรับศาลแรงงานแต่เดิมมีเพียงศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีแรงงานทั่วราชอาณาจักร ต่อมาได้มีพระราชกฤษฏีกา กำหนดจำนวนที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการศาลแรงงานภาค พ.ศ. 2546 เปิดทำการศาลแรงงานภาค 2 ภาค 8 และภาค 9 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ในปี 2547 เปิดศาลแรงงานภาค 4 ภาค 5 และภาค 6 และในปี 2548 เปิดศาลแรงงานภาค 1 ภาค 3 และภาค 7 จนครบทุกภาค  

ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จังหวัดภูเก็ต เปิดโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ประจำปี 2557 หมู่บ้านแรกในจังหวัดภูเก็ต ที่บ้านนากก หมู่ที่ 5 ตำบลฉลอง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 21 มีนาคม 2557  ที่ตลาดลานค้าชุมชนบ้านนากก ตำบลฉลอง  อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นายเสรี พาณิชย์กุล ปลัดจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดโครงการ ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน โดยมี นายภาคภูมิ อินทรสุวรรณ นายอำเภอเมืองภูเก็ต นายระพินทร์ นิชานนท์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดภูเก็ต นายสำราญ จินดาพล นายกเทศมนตรีฉลอง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนชุมชนบ้านนากก เข้าร่วม

นายภาคภูมิ อินทรสุวรรณ นายอำเภอเมืองภูเก็ต กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ทุกหน่วยงานในศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอเมืองภูเก็ต จึงได้มีการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ  ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมเป็นพลังแผ่นดินเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยจากการดำเนินการในรอบปี 2556  ที่ผ่านมาของศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอเมืองภูเก็ต มีผลการดำเนินงานได้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้กำหนดไว้ทุกประการโดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างความเข็มแข็งของหมู่บ้าน การสร้างพลังสังคม พลังชุมชน เพื่อเอาชนะยาเสพติด  การบำบัดรักษาและการปราบปราม ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและพึงพอใจต่อการดำเนินงานในด้านนี้เป็นอย่างมาก

สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ ทางรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการยึดแนวทางการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผนดินเอาชนะยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายผลการดำเนินงานชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน ซึ่งการดำเนินโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อปราบปรามจับกุมกลุ่มผู้ค้ารายย่อยและผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้หมดไปจากชุมชน นำผู้เสพซึ่งถือว่าผู้เป็นโรคสมองติดยาที่ยังคงเหลืออยู่ในชุมชนเข้ารับการบำบัดรักษาให้มากที่สุด รวมทั้งติดตามช่วยเหลือและส่งเสริมให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดมาแล้วได้มีอาชีพการงาน มีการศึกษา มีรายได้อย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องมีพฤติกรรมซ้ำเดิม นอกจากนี้ ยังเป็นการเฝ้าระวังชุมชนให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมในหลายรูปแบบที่เป็นผลมาจากปัญหายาเสพติด และสุดท้าย เพื่อเสริมสร้างให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง ครอบครัวอบอุ่น และเป็นชุมชนอุ่นใจที่ได้ลูกหลานกลับคืนมาในที่สุด

อย่างไรก็ดีจากการดำเนินการที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ทำให้ยาเสพติดในเขตชุมชนต่าง ๆ ลดลงไปได้มากพอสมควร ดังนั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนชุมชนถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในการปราบปรามขจัดสิ้นยาเสพติด

ภูเก็ต เตรียมแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเนื่องจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 มี.ค. 57 นายสมเกียรติ  สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเนื่องจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จ. ภูเก็ต โดยมีนายสมพงศ์  แป้นทอง เกษตรและสหกรณ์จังหวัดภูเก็ต พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายสมพงศ์  กล่าวว่า โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยพระราชานุญาต สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ปร/2555 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ จังหวัดภูเก็ต โดยประกาศตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 มีผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นประธานกรรมการ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต 3 ท่าน และเลขานุการคณะกรรมการโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ เป็นรองประธานกรรมการ และมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดภูเก็ตเป็นเลขานุการ

สำหรับการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ประกอบด้วย กิจกรรมสำรวจและบันทึกข้อมูลพันธุกรรมพืช กิจกรรมเข้าค่ายเยาวชนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กิจกรรมประชาสัมพันธ์ กิจกรรมสนับสนุนการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชในเขตปฏิรูปที่ดิน และกิจกรรมโครงการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ โครงการปวงประชาเป็นสุขด้วยพระบารมี “คืนปาล์มหลังขาวสู่ป่า ถวายเจ้าฟ้าสิรินธร” ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาพระแทว

ทั้งนี้วาระการพิจารณา มีการดำเนินการแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ระยะ 5 ปี และแผนปฏิบัติงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ ประจำปี 2557

พังงาเปิดสัมมนาเรื่อง “Check ความพร้อมเข้าสู่ AEC : SMEs รุ่ง..ร่วง” ตามโครงการสนับสนุนการดำเนินของศูนย์ AEC ระดับจังหวัด

วันที่ ( ๒๐ มีนาคม ๕๗) เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องพิงกัน โรงแรมภูงา นายสุทธิโชค ทองชุมนุม ประธานหอการค้าจังหวัดพังงา เปิดการสัมมนาเรื่อง "Check ความพร้อมเข้าสู่ AEC : SMEs รุ่ง..ร่วง” ตามโครงการสนับสนุนการดำเนินของศูนย์ AEC ระดับจังหวัด โดยมีนายปัญญา เพชรคงทอง พาณิชย์จังหวัดพังงา กล่าวให้การต้อนรับผู้เสวนา ซึ่งประกอบด้วย นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายพิภวัตว์ ภัทรนาวิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เนินรายการโดยนายวิทัต วัชรบล ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินรายการ

สำหรับการเปิดสัมมนาเรื่อง " Check ความพร้อมเข้าสู่ AEC : SMEs รุ่ง..ร่วง” เป็นกิจกรรมที่กรมการค้าระหว่างประเทศและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดพังงาและหอการค้าจังหวัดพังงา จัดขึ้น เนื่องจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจและการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่งและสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆได้ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ และมีสภาพภูมิศาสตร์ติดต่อกับประเทศในอาเซียนถึง ๔ ประเทศ ย่อมจะต้องได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ ประเด็นสำคัญคือภาคเอกชนจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้พร้อม ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของผู้ประกอบการในอันที่จะเกี่ยวผลประโยชน์ทางการค้าจากโอกาสที่เกิดจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจในการเข้าสู่ AEC

จังหวัดนครศรีธรรมราช ออกมาตรการห้ามจุดไฟ เผ่าป่า ฝ่าฝืนระวังมีโทษถึงจำคุก และปรับ

นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการป้องกันอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากความแห้งแล้ง จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ออกประกาศเรื่องห้ามจุดไฟ เผาป่า เพื่อให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินประชาชนและสาธารณะ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 15 และมาตรา 29 จึงกำหนดมาตรการในการป้องกันดังนี้

 1. ประชาชน ผู้ที่มีความจำเป็นต้องจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรในพื้นที่ที่ตนเองครอบครองโดยการเผาไฟ ให้ขออนุญาตจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในเขตปกครองนั้น ๆ ก่อนดำเนินการ และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ต้องจัดทำแนวกันไฟและควบคุมมิให้ไฟลุกลามไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ครอบครองที่ดินติดกับป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ต้องแจ้งต่อหัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าในเขตพื้นที่นั้น ๆ ด้วย และหากพบเห็นเปลวไฟ หรือควันไฟในพื้นที่เขตป่าดังกล่าวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปกครองในพื้นที่ หรือเจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าโดยทันที

2. ห้ามเผา หรือกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ทั้งในพื้นที่ครอบครองของตนเองและมิใช่ของตนเอง ในบริเวณที่เป็นป่าพรุ ที่ลุ่มต่ำรกร้างว่างเปล่า ที่ชุมชนซึ่งอาจให้เกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างได้ บริเวณริมฝั่งถนน เส้นทางสายหลักในระยะเวลาห้าร้อยเมตรจากทางเดินรถ อันตรายจะเป็นเหตุให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะที่อาจทำให้ไม่ปลอดภัยแก่การจราจรในทางเดินรถนั้น

3. หากฝ่าฝืนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในเขต เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และป่าสงวนแห่งชาติ มีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 150,000 บาท และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้จะเป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 130 ห้ามมิให้ผู้ใดเผา หรือกระทำผิดด้วยประการใด ๆ ภายในระยะห้าร้อยเมตรจากทางเดินรถ เป็นเหตุให้เกิดควันหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะที่อาจทำให้ไม่ปลอดภัยแก่การจราจรในทางเดินรถนั้น มาตรา 152 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 130 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขอให้นายอำเภอ นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ตลอดถึงผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครผู้ใต้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ ให้ถือเป็นหน้าที่ต้องเฝ้าระวังดูแลให้ประชาชนในพื้นที่/ท้องที่ ปฏิบัติตามปราศนี้อย่างเคร่งครัดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประชุมส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมด้านผู้สูงอายุจังหวัดนครศรีธรรมราช

จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดประชุมส่งเสริมสวัสดิการสังคมด้านผู้สูงอายุจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ ปี 2557

วันนี้ (21 มี.ค. 57) ที่ห้องประชุมศรีปราชญ์ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นายศิริพัฒ พัฒกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมด้านผู้สูงอายุจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีนางเลขา ซื่อธานุวงศ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช คณะอนุกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมด้านผู้สูงอายุจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าร่วมประชุมพร้อมเพรียงกัน

การประชุมครั้งนี้ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานโครงการศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ ปี 2557 ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กำหนดให้มีกิจกรรมเพื่อการขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ระดับจังหวัด คณะกรรมการบริหารศูนย์ระดับพื้นที่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชมรมผู้สูงอายุ เพื่อให้ได้รับทราบถึงแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งในเบื้องต้นได้กำหนดให้มีกิจกรรมเพื่อการขับเคลื่อนหลายกิจกรรม อาทิ การปรับปรุง/ก่อสร้างอาคาร การติดตามนิเทศงาน กิจกรรมด้านอบรมให้ความรู้ด้านต่างๆ กิจกรรมด้านฝึกอาชีพ ด้านถ่ายทอดวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านนันทนาการ และด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้ดำเนินงานเพื่อขยายผลโครงการอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน โดยมอบหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรหลักในการดำเนินงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนในท้องถิ่น สร้างระบบงานอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านให้เกิดขึ้นทุกเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในปี 2556 ที่ขณะนี้สามารถดำเนินการได้ครบทุกเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ส่งผลให้มีอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน จำนวน 81,883 คน และมีผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนที่ได้รับการดูแลจากอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 864,660 คน


อุไรวรรณ /ข่าว
จุรีรัตน์ /ภาพ

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่นชมเยาวชนที่มีความตั้งใจสร้างสรรค์กิจกรรม ในเวทีเยาวชนพบผู้ว่าฯ ของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช

เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (21 มี.ค.57) ที่ศาลาประชาคมอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พบปะพูดคุยกับเยาวชน ตามกิจกรรมเวทีเยาวชนพบผู้ว่าฯ ของอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีนายราชิต สุดพุ่ม นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช นายอภิเชษฐ์ สิงห์แก้ว พัฒนาการจังหวัดนครศรีธรรมราช กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมัชชาหมู่บ้าน คณะกรรมการสตรีระดับตำบล และกลุ่มเยาวชน 7 กลุ่ม จาก 5 ตำบล รวมทั้งสิ้น 300 คน ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนได้เสนอแนวคิด โครงการที่สร้างสรรค์ร่วมกัน ลดพื้นที่เสี่ยงและเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ที่ดีให้กับเยาวชนในการทำกิจกรรมร่วมกันในช่วงปิดภาคเรียน เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด และเพื่อให้เยาวชนได้กล้าแสดงออก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ซึ่งอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชร่วมกับพัฒนาชุมชนและกลุ่มเยาวชนจัดขึ้น

โอกาสนี้ตัวแทนเยาวชนตั้ง 7 กลุ่ม ได้นำเสนอโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพของเยาวชนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด รวม 7 โครงการ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 354,600.-บาท เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากผู้ว่าราชการจังหวัด นำไปจัดกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไป

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ต้องขอชื่นชมเยาวชนทุกคนที่มีความตั้งใจและความพยายามในการคิดสร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทำร่วมกัน บางกิจกรรมที่นำเสนอมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเมื่อเสร็จสิ้นโครงการแล้วเยาวชนและสังคมจะได้อะไรบ้าง บางกิจกรรมยังไม่มีความชัดเจนก็ต้องให้ปรับปรุงเนื้อหาบางส่วน อย่างไรก็ตามการคิดกิจกรรม/โครงการ ไม่ต้องการให้เอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่ต้องการให้ผลลัพธ์ที่จะได้เป็นตัวตั้ง ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดจะได้จัดสรรงบประมาณจากแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัดนครศรีธรรมราชต่อไป

ผวจ.ตรัง นำส่วนราชการลงพื้นที่ออกบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชนอำเภอหาดสำราญ

วันนี้ (21 มี.ค.)  ที่โรงเรียนหาดสำราญ สวนสาธารณอำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นางณัฐพิสุทธิ์ เหมทานนท์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตรังพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดตรัง ได้ออกหน่วยบริการจังหวัดเคลื่อนที่ เพื่อนำบริการของหน่วยงาน มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่พร้อมทั้งเยี่ยมเยียนและรับทราบปัญหาข้อขัดข้องจากชาวบ้าน อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง โครงการ จังหวัดเคลื่อนที่ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” เป็นโครงการที่ส่วนราชการต่าง ๆ ออกมาให้บริการประชาชนในพื้นที่ เช่น การบริการด้านการแพทย์ ด้านการเกษตร ด้านกฎหมายและงานยุติธรรม ด้านสวัสดิการสังคม และอื่น ๆ โดยแต่ละหน่วยงานจะมีเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ คอยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา พร้อมทั้งสื่อแผ่นพับหรืออื่น ๆ ที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ และเหล่ากาชาดจังหวัดตรังมอบแว่นสายตา พร้อมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้สูงอายุอีก 100 ชุดและขอความร่วมมือให้พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2557 ที่จะถึงนี้ อย่านอนหลับทับสิทธิ เพราะชาวตรังเป็นผู้ที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากติดในลำดับต้น ๆ ของประเทศ และขอให้ประชาชนช่วยดูแลบุตรหลาน สั่งสอน แนะนำ ตักเตือน ในเรื่องของการท้องก่อนวัยอันควร หรือคุณแม่วัยใส ประเทศไทยติดอับดับโลกในเรื่องนี้ อยากจะให้ช่วยกัน ยิ่งพ่อแม่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษอย่าอายที่จะสอนลูก ถ้าหากพ่อแม่อายแล้วใครจะสอนลูกให้ได้ดี ให้รักลูกเหมือนรักวัวชน เหมือนรักไก่ชนบ้าง กอดลูกวันละครั้งเป็นอย่างน้อยเป็นการสร้างความอบอุ่นในครอบครัว เราก็จะสามารถนำพาครอบครัวของเราไปสู่สิ่งที่ดีได้แน่นอน

ประมงจังหวัดตรัง ให้คำแนะนำเกษตรกรในหน้าแล้ง

นายสุพล ตันสุวรรณ ประมงจังหวัดตรัง กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งของจังหวัดตรังที่จะมีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำว่า ช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ของทุกปี อากาศร้อนและแล้ง ทำให้อุณหภูมิน้ำสูงขึ้น อาจจะเป็นสาเหตุทำให้สัตว์น้ำที่เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นปลา หรือกุ้ง ได้รับผลกระทบได้ สัตว์น้ำทั้งปลาและกุ้ง เป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิของน้ำ ยิ่งในช่วงหน้าแล้ง ปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยงหรือแหล่งน้ำธรรมชาติลดลง จะมีผลให้อุณหภูมิน้ำสูงขึ้น ก็จะส่งผลให้สัตว์น้ำกินอาหารน้อยลง หรือมีอาการป่วยตามมา จึงให้เกษตรได้เตรียมรับกับปัญหาและหาแนวทางการป้องกัน เช่น การควบคุมการใช้น้ำและรักษาปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยง ให้มีการสูญเสียน้ำน้อยที่สุด การป้องกันการั่วซึมของน้ำ การจัดหาร่มเงาให้บ่อเลี้ยง การเตรียมแหล่งน้ำสำรอง จับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดจำหน่ายหรือบริโภค เพื่อลดปริมาณลง ลดปริมาณอาหารเพื่อป้องการการเน่าเสียของน้ำ การงดเว้นการขนถ่ายสัตว์น้ำ หมั่นพยายามสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้แก้ไขอย่างทันท่วงที นอกจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำจะต้องระมัดระวังและสังเกตอาการในเบื้องต้นแล้ว หลังจากผ่านช่วงหน้าแล้งไป ก็จะต้องระมัดระวังอีกครั้งเพราะหากฝนตก น้ำฝนก็จะพัดพาสารเคมีตกค้าง หรือ สารอินทรีย์ ต่าง ๆ ลงสู่แหล่งน้ำ นั่นก็จะมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำอีกเช่นกัน หากเกษตรกรมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สำนักงานประมงจังหวัดตรัง 0-7521-8541 ,ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดตรัง 0-7527-8200,0-7527-8164 และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งตรัง 0-7527-4077-8 ได้ในวัน และเวลาราชการ

จังหวัดตรัง ประสบภาวะแล้งหนักประกาศพื้นที่ประสบภัยแล้งแล้วทั้งจังหวัด

นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งของจังหวัดตรัง ว่า ขณะนี้จังหวัดตรังได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยแล้งแล้วทั้งจังหวัด ซึ่งอำเภอสุดท้ายที่ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยแล้งคืออำเภอนาโยง รวมทั้งจังหวัดขณะนี้ 50 ตำบล 2 เทศบาล 362 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 35,508 ครัวเรือน 108,747 คน นายอำนวย จันทรัฐ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรัง กล่าวว่า พื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งของจังหวัดตรัง ขณะนี้ทุกอำเภอ 1) อำเภอปะเหลียน 4 ตำบล 27 หมู่บ้าน 2) อำเภอห้วยยอด 8 ตำบล 1 เทศบาล 39 หมู่บ้าน 3) อำเภอเมืองตรัง 8 ตำบล 51 หมู่บ้าน 4) อำเภอวังวิเศษ 4 ตำบล 47 หมู่บ้าน 5) อำเภอหาดสำราญ 3 ตำบล 22 หมู่บ้าน 6) อำเภอสิเกา 4 ตำบล 27 หมู่บ้าน 7) อำเภอกันตัง 8 ตำบล 49 หมู่บ้าน 8) อำเภอย่านตาขาว 6 ตำบล 1 เทศบาล 56 หมู่บ้าน 9) อำเภอรัษฎา 4 ตำบล 35 หมู่บ้าน และ 10) อำเภอนาโยง 1 ตำบล 9 หมู่บ้าน รวม 50 ตำบล 2 เทศบาล และ 362 หมู่บ้าน ในขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้น ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล ส่วนราชการเช่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรัง กองร้อย ตชด.ที่ 435 หน่วย ศบภ.ร.15 พัน 4 ได้นำน้ำออกไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยแล้ว กว่า 4.68 ล้านลิตร ช่วงนี้จึงขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำ รวมทั้งให้ความระมัดระวังในการเผาป่า เผาขยะ หรืออื่นใดที่ทำให้ติดไฟได้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนเรื่องน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ของให้แจ้งหน่วยงานในพื้นที่ เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ เพื่อขอรับความช่วยเหลือต่อไป

สำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฏร์ธานี จัดกิจกรรมครบรอบ “ 60 ปี สปช.5 ยิ้ม ” เนื่องในโอกาศครบรอบวันคล้ายวันก่อตั้ง สำนักฯ ครบรอบ 60 ปี ประจำปี 2557 ณ.จังหวัดกระบี่

สำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฏร์ธานี จัดกิจกรรมครบรอบ “ 60 ปี สปช.5 ยิ้ม ” เนื่องในโอกาศครบรอบวันคล้ายวันก่อตั้ง สำนักฯ ครบรอบ 60 ปี ประจำปี 2557 ณ.จังหวัดกระบี่

วันนี้ 21 มีนาคม 2557 นางพิชญา เมืองเนาว์ ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฏร์ธานี พร้อมคณะเจ้าหน้าที่เดินทางมาจัดกิจกรรมครบรอบ “ 60 ปี สปช.5 ยิ้ม ” เนื่องในโอกาศครบรอบวันคล้ายวันก่อตั้ง สำนักฯ ครบรอบ 60 ปี ประจำปี 2557 ณ. จังหวัดกระบี่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วยงานให้เป็นที่ประจักษ์ ในวงการสื่อสารมวลชนระดับภูมิภาค และเพื่อประสานความสัมพันธ์ที่ดี กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสื่อสารมวลชน กิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น.ได้จัดให้มีการทำบุญ ณ.วัดแก้วโกรวาราม อารามหลวง อ.เมือง จ.กระบี่ จากนั้นในเวลา 13.00 น. นายกฤช รังสิเสนา ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในการประชุมผู้บริหาร สปช.5 สัญจร ณ ห้องเหลืองกระบี่ โรงแรมมาริไทม์ ปาร์ค แอนด์สปารีสอร์โดยมีนางพิชญา เมืองเนาว์ ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฏร์ธานี กล่าวรายงาน
การประชุมในครั้งนี้มีวาระแจ้งให้ที่ประชุมทราบได้แก่การแสดงความยินดีกับรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนใหม่ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 19/2557 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เรื่องย้ายข้าราชการ นายจรูญ ไชยศร ผอ.สวท. ดำรงตำแหน่ง รองอธิการบดีกรมประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติงานในสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง

ในที่ประชุมบริหาร กปส. ครั้งที่ 2/2557 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา รปส. (นายไพฑูรย์ หิรัญประดิษฐ์) ประธษนในที่ประชุมให้กำลังใจการปฏิบัติงานในสถานการณ์ขัดแย้ง ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานที่สำคัญ ในส่วนภูมิภาคของให้ประชาสัมพันธ์จังหวัด ประสาน สมาคมสื่อมวลชน ตำรวจ ทหาร ในพื้นที่ ให้มีสัญลักษณ์แสดงตนของสื่อมวลชน ซึ่งอาจจะเป็นการส่งรายชื่อ หรือการลงทะเบียน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรในวิชาชีพสื่อสารในการปฏิบัติงานของ กปส.การประชาสัมพันธ์เรื่องภัยแล้งขอให้หน่วยงาน สปข.5 สทท. สวท. สวศ. และ ส.ปชส. ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องภัยแล้ง ในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน เกี่ยวกับการป้องกัน แก้ไขและประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานราชการแก่ประชาชน ควบคู่ไปกับการรายงานสถานการณ์ภัยแล้งด้วยการเร่งรัดดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปี 2557ในที่ประชุมผู้บริหาร กปส. ที่ผ่านมา ได้รายงานความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. 2557 ตามมติ ครม. ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 ในภาพรวมของ กปส. เบิกต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 17.68 จึงขอให้หน่วยงานในสังกัด สปข.5 เร่งดำเนินการเบิกจ่าย ซึ่งในรอบ 6 เดือนแรก (ถึง 31 มีนาคม 2557) ทุกหน่วยงานต้องเบิกจ่ายเงินงบประมาณในภาพรวม ร้อยละ 37 บรรลุค่าเป้าหมายที่ระดับ 3 หากจะให้ได้ ระดับ 5 ต้องเบิกจ่ายให้ได้ ร้อยละ 41