ตำรวจภูธรกะทู้ จับผู้ต้องหาชาวเยอรมัน ฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ มาจาก ออสเตรีย มูลค่าสูงถึง 13 ล้านบาท
เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.วันที่ 20 พฤษภาคมนี้พล.ต.ต.วิญณุ ม่วงแพรศรี รอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค8สั่งการให้ พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยพ.ต.อ.จิรภัทร โพธิ์ชนะพันธิ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรกะทู้ และ พ.ต.ท.คุณเดช ณหนองคาย รองผู้กำกับการสืบสวน พ.ต.ท.สุทธิชัย เทียนโพธิ์ สารวัตรสืบสวนและชุดจับกุมนำหมายจับของพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ที่ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา 3 ฉบับคือเลขที่ 304/2557 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2557 คดีหมายเลขดำ ที่ จ.2/2557 คดีหมายเลขที่แดง ที่ จ.2/2557 ให้ทำการจับกุมผู้ต้องหารายนายเดทเลฟ เกอร์ฮาร์ดฮิวเออร์ (Detlef Gerhard Hewer)
สำหรับนายเดทเลฟ เกอร์ฮาร์ดฮิวเออร์ อายุ 49 ปี ประกอบอาชีพเป็นช่างเครื่องยนต์ หรือประกอบธุรกิจถ่ายภาพทางอากาศ โดยใช้เครื่องบินเล็กบังคับในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ตสัญชาติ เยอรมัน ถือหนังสือเดินทางเลขที่321301611 C4KL9RGP6โดยผู้ต้องหาข้ามชาติ รายนี้ ได้ มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์และฉ้อโกง ทรัพย์สินผู้อื่น จากประเทศสาธารณรัฐออสเตรียหลบหนีมากบดานที่ หมู่บ้านพนาสนธิ์ เลขที่ 6/83 ถนนวิชิตสงคราม หมู่ที่ 6 ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต
สำหรับผู้ต้องหารายนี้มีความผิดฐานยักยอกฉ้อโกง ทรัพย์สินผู้อื่น เป็นเงินสูงถึงประมาณ 13 ล้านบาท จากประเทศสาธารณรัฐออสเตรีย และ หลบหนีมากบดานในพื้นที่ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาและยังอาศัยในหมู่บ้านพนาสนธิ์ ที่ถูกจับกุมได้ขณะพักผ่อน อยู่ที่บ้านพักหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงนำหมายเข้าทำการจับกุม และ นำตัว มาสอบสวน ลงประจำวัน ที่สถานีตำรวจภูธรกะทู้ก่อนจะนำตัว ขึ้นเครื่องบินส่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ ส่งตัว เป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ตร.ถลาง ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหายาบ้าพร้อมยาบ้า 7,455 เม็ด อาวุธสงครามพร้อมกระสุน
ตร.ถลาง ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหายาบ้าพร้อมยาบ้า 7,455 เม็ด ปืนอาก้า และปืนลูกซองสั้นอย่างละ1กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง
วันที่ 21 พ.ค. 57 ที่ สภ.ถลาง พ.ต.อ. อารยะพันธุ์ พุกบัวขาว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.ท. พิศิษฐ์ ชื่นเพ็ชร รองผกก.สส.สภ.ถลาง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.ถลาง ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายศรันยู สาลี อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/11 ม.4 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยของกลาง
1.ยาบ้า จำนวน 7,455 เม็ด
2.อาวุธปืนสั้นไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก
3.อาวุธปืนยาวชนิด AK 47 (อาก้า) จำนวน 1 กระบอก
4.เครื่องกระสุนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 6 นัด
5.เครื่องกระสุนปืนขนาด 5.56 (เอ็ม16) จำนวน 5 นัด
6.อุปกรณ์การเสพยาบ้า จำนวน 1 ชุด
7.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง จำนวน 2 เครื่อง และยี่ห้อโนเกีย จำนวน 1 เครื่อง
8.รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าดรีม สีดำ หมายเลขทะเบียน กนษ 629 ภูเก็ต จำนวน 1 คัน
9.กล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยม ขนาด 17x26 เซ็นติเมตร จำนวน 1 กล่อง
10.เงินสด จำนวน 4,600 บาท
โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณ ขนำไม่เลขที่ บริเวณป่าชายเลน ม.4 บ้านพารา ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
พ.ต.อ.อารยะพันธุ์ พุกบัวขาว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงพฤติการณ์ในการจับกุม สืบเนื่องเมื่อวันที่ 20 พ.ค.57 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายกฤษฎา หรือเอ๋ ใจหาญ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในลักษณะเป็นผู้จำหน่ายกำลังจะเดินทางไปรับยาเสพติดที่ขนำแห่งหนึ่งริมป่าชายเลนบ้านพารา ต.ป่าคลอก จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปซุ่มสังเกตการณ์ จนกระทั่งเวลา 15.45 น. นายกฤษฎา ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กนษ 629 ภูเก็ต มายังขนำดังกล่าว โดยนายกฤษฎาได้เดินเข้าไปในขนำดังกล่าวซึ่งภายในขนำได้มีผู้ชาย 2 คนนั่งรออยู่ภายในแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จู่โจมบุกเข้าไปในขนำดังกล่าว แต่ชายทั้ง 3 คน ได้วิ่งหลบหนีข้ามคลองริมป่าชายเลนไปอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าหน้าที่สามารถวิ่งไล่จับกุมได้ 1 คน คือ นายศรันยู สาลี ส่วน 2 คนที่หลบหนีไปได้คือ นายกฤษา ใจหาญและนายอดิศักดิ์ หอมหวน (ทราบชื่อภายหลัง) จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายศรันยูไปตรวจค้นภายในขนำ ปรากฏว่า พบยาบ้าจำนวน 38 ถุง รวม 7,455 เม็ด และยังพบของกลางอื่นๆ อีกมากมาย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว นายศรัณยู ไปสอบสวนเพิ่มที่ สภ.ถลาง โดย นายศรันยู เปิดเผยว่า ยาเสพติดดังกล่าวและของอื่นๆ เป็นของนายดำ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ที่นำมาให้ นายกฤษฎาและนายอดิศักดิ์ จำหน่ายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่อ.ถลาง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง อันเป็นความผิดฐาน ร่วมกับพวกที่หลบหนีมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายและร่วมกับพวกที่หลบหนีมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในเบื้องต้น นายศรันยู ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหายาบ้าและของกลางอื่นๆ ไม่ใช่ของตนเอง ซึ่งตนเองเพียงไปซื้อเท่านั้นตร.ถลาง ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหายาบ้าพร้อมยาบ้า 7,455 เม็ด ปืนอาก้า 1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง
วันที่ 21 พ.ค. 57 ที่ สภ.ถลาง พ.ต.อ. อารยะพันธุ์ พุกบัวขาว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.ท. พิศิษฐ์ ชื่นเพ็ชร รองผกก.สส.สภ.ถลาง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.ถลาง ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายศรันยู สาลี อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/11 ม.4 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยของกลาง
1.ยาบ้า จำนวน 7,455 เม็ด
2.อาวุธปืนสั้นไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก
3.อาวุธปืนยาวชนิด AK 47 (อาก้า) จำนวน 1 กระบอก
4.เครื่องกระสุนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 6 นัด
5.เครื่องกระสุนปืนขนาด 5.56 (เอ็ม16) จำนวน 5 นัด
6.อุปกรณ์การเสพยาบ้า จำนวน 1 ชุด
7.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง จำนวน 2 เครื่อง และยี่ห้อโนเกีย จำนวน 1 เครื่อง
8.รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าดรีม สีดำ หมายเลขทะเบียน กนษ 629 ภูเก็ต จำนวน 1 คัน
9.กล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยม ขนาด 17x26 เซ็นติเมตร จำนวน 1 กล่อง
10.เงินสด จำนวน 4,600 บาท
โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณ ขนำไม่เลขที่ บริเวณป่าชายเลน ม.4 บ้านพารา ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
พ.ต.อ.อารยะพันธุ์ พุกบัวขาว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงพฤติการณ์ในการจับกุม สืบเนื่องเมื่อวันที่ 20 พ.ค.57 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายกฤษฎา หรือเอ๋ ใจหาญ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในลักษณะเป็นผู้จำหน่ายกำลังจะเดินทางไปรับยาเสพติดที่ขนำแห่งหนึ่งริมป่าชายเลนบ้านพารา ต.ป่าคลอก จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปซุ่มสังเกตการณ์ จนกระทั่งเวลา 15.45 น. นายกฤษฎา ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กนษ 629 ภูเก็ต มายังขนำดังกล่าว โดยนายกฤษฎาได้เดินเข้าไปในขนำดังกล่าวซึ่งภายในขนำได้มีผู้ชาย 2 คนนั่งรออยู่ภายในแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จู่โจมบุกเข้าไปในขนำดังกล่าว แต่ชายทั้ง 3 คน ได้วิ่งหลบหนีข้ามคลองริมป่าชายเลนไปอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าหน้าที่สามารถวิ่งไล่จับกุมได้ 1 คน คือ นายศรันยู สาลี ส่วน 2 คนที่หลบหนีไปได้คือ นายกฤษา ใจหาญและนายอดิศักดิ์ หอมหวน (ทราบชื่อภายหลัง) จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายศรันยูไปตรวจค้นภายในขนำ ปรากฏว่า พบยาบ้าจำนวน 38 ถุง รวม 7,455 เม็ด และยังพบของกลางอื่นๆ อีกมากมาย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว นายศรัณยู ไปสอบสวนเพิ่มที่ สภ.ถลาง โดย นายศรันยู เปิดเผยว่า ยาเสพติดดังกล่าวและของอื่นๆ เป็นของนายดำ ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ที่นำมาให้ นายกฤษฎาและนายอดิศักดิ์ จำหน่ายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่อ.ถลาง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง อันเป็นความผิดฐาน ร่วมกับพวกที่หลบหนีมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายและร่วมกับพวกที่หลบหนีมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในเบื้องต้น นายศรันยู ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหายาบ้าและของกลางอื่นๆ ไม่ใช่ของตนเอง ซึ่งตนเองเพียงไปซื้อเท่านั้นตร.ถลาง ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหายาบ้าพร้อมยาบ้า 7,455 เม็ด ปืนอาก้า 1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง
เร่งตรวจสอบผู้บุกรุกในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถระยะที่ 4 อีก 8 เป้าหมาย
กรมอุทยานฯเดินหน้าตรวจสอบผู้บุกรุกในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถระยะที่ 4 อีก 8 เป้าหมาย ขณะที่หัวหน้าอุทยานฯเตรียมย้ายเข้ารับตำแหน่งใหม่ในกรมป่าไม้ ยืนยันไม่ได้ถูกกดดันจากนายทุน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 พ.ค.57 ภายในที่ทำการอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นาย สมัคร ดอนนาปี ผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯ พร้อมด้วยนาย ชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าอุทยานฯสิรินาถ แถลงภาพรวมความคืบหน้าโครงการตรวจสอบเอกสารสิทธิและปราบปรามการบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ทั้ง 3 ระยะ
นายสมัคร ดอนนาปี ผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯ กล่าว ขณะนี้ การดำเนินการตรวจสอบทั้ง 4 ระยะที่ผ่านมามีความคืบหน้าเป็นลำดับ โดยสามารถสรุปได้เป็นระยะคือ ระยะที่ 1 จำนวน 11 เป้าหมาย รวม 524 ไร่ ระยะที่2 จำนวน 9 เป้าหมาย รวม 701 ไร่ ระยะที่ 3 จำนวน 6 เป้าหมาย 20 แปลง เนื้อที่รวม 320 ไร่ และในระยะที่ 4 จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ 185 ไร่ รวมทั้งหมดดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีไปแล้ว 1,755ไร่ ขณะที่การเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ต่อกรมที่ดินฯ ซึ่งพบว่ามีความชัดเจนแล้วว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบจำนวนกว่า 500 ไร่ รวมถึงการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบทั้งหมด ได้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน นักวิชาการที่ดิน อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดอำเภอ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆซึ่งกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบ
จากนั้นผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯ ร่วมปล่อยแถวเจ้าหน้าที่กรมอุทยานกว่า 100 นาย ลงพื้นที่เข้าดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายในระยะที่ 4 อีกจำนวน 8 เป้าหมาย พร้อมแจ้งความดำเนินดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบ 5 เป้าหมายแรกตั้งอยู่บริเวณชายหาดในทอน ต.สาคู ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้แก่ร้านอาหารบ้านราตรี ร้านอาหารอันโตนีโอ ร้านอาหารมาดากัสกา ร้านอาหาร คาเฟ่ อัลลาดิน และร้านอาหารเยลโล่ คาเฟ่2 ซึ่งมีการก่อสร้างเป็นร้านอาหารลักษณะถาวร ก่อสร้างห้องน้ำ ตั้งโต๊ะอาหาร ร่ม สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว ปิดกั้นทางลงชายหาด และทั้งที่จุดดังกล่าว องค์การบริหารส่วนตำบลสาคูได้เข้ามาจัดระเบียบชายหาด และทำข้อตกลงกับผู้ประกอบการในพื้นที่ไม่ให้มีการก่อสร้างในลักษณะถาวร จึงเชิญตัวเจ้าของมาพูดคุยในเบื้องต้นเพื่อรวบรวมหลักฐาน ก่อนจะแจ้งบังคับใช้มาตรา 22 เพื่อสั่งให้มีการรื้อถอนภายในระยะเวลาที่กำหนด
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบในเป้าหมายที่ 6 ที่ตั้งของสถานประกอบการ ธุรกิจดำน้ำของบริษัท อควา ไดร์ฟเวอร์ส จำกัด ซึ่งถัดไปจากชายหาดประมาณ 300 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานฯสิรินาถจึงให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบพร้อมทั้งรวบรวมหลักฐาน ก่อนจะเดินทางไปตรวจสอบในเป้าหมายที่ 7 อีก 1 จุด บริเวณรอยต่อของต.สาคูและต.เชิงทะเล ซึ่งเป็นสวนยางเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษ มีการก่อสร้างบ้านพักจำนวน 2 หลัง และมีร่องรอย การขุดหลุมเตรียมก่อสร้างบ้านพักอีกจำนวนมาก จุดนี้เอง มีผู้แสดงตนเป็นลูกจ้างเฝ้าสวนยาง เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบถาม ส่วนอีก1 เป้าหมาย ที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งความดำเนินคดีคือถนนทางเข้าโรงแรมเพนนิซูล่า (โรงแรมร้าง) ต. สาคู ซึ่งมีการดำเนินคดีไปแล้วก่อนหน้า เพื่อสกัดกั้นการบุกรุกพื้นที่ป่าสมบูรณ์ที่นายทุนเตรียมออกเอกสารสิทธิ์อีกนับร้อยไร้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะมีการรวบรวมหลักฐานให้ครบทั้งหมด 8 เป้าหมาย ก่อนเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกฯตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 16 (1) (4) (13) ต่อพนักงานสอบสวน
ส่วนกรณีที่จะมีการโยกย้ายหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถนั้น นาย ชีวะภาพ ชีวะธรรม ตนได้รับคำสั่งให้ไปรับตำแหน่งในกรมป่าไม้เพื่อดูแลในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันจากนายทุนแต่อย่างไร โดยจะเดินทางไปรับตำแหน่งในวันที่ 22 พ.ค.นี้ และจะไม่มีผลกระทบกับการดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ ในเขตอุทยานสิรินาถแต่อย่างใด และฝากไปยังหัวหน้าอุทยานฯสิรินาถคนใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการต่อ ต้องกล้าที่จะดำเนินคดีฯ เพราะต้องเจอกับภาวะกดดันจากคนบางกลุ่ม และต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เพราะอาจมีการหยิบยื่นผลประโยชน์เข้ามาในหลายด้าน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 พ.ค.57 ภายในที่ทำการอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นาย สมัคร ดอนนาปี ผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯ พร้อมด้วยนาย ชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าอุทยานฯสิรินาถ แถลงภาพรวมความคืบหน้าโครงการตรวจสอบเอกสารสิทธิและปราบปรามการบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ทั้ง 3 ระยะ
นายสมัคร ดอนนาปี ผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯ กล่าว ขณะนี้ การดำเนินการตรวจสอบทั้ง 4 ระยะที่ผ่านมามีความคืบหน้าเป็นลำดับ โดยสามารถสรุปได้เป็นระยะคือ ระยะที่ 1 จำนวน 11 เป้าหมาย รวม 524 ไร่ ระยะที่2 จำนวน 9 เป้าหมาย รวม 701 ไร่ ระยะที่ 3 จำนวน 6 เป้าหมาย 20 แปลง เนื้อที่รวม 320 ไร่ และในระยะที่ 4 จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ 185 ไร่ รวมทั้งหมดดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีไปแล้ว 1,755ไร่ ขณะที่การเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ต่อกรมที่ดินฯ ซึ่งพบว่ามีความชัดเจนแล้วว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบจำนวนกว่า 500 ไร่ รวมถึงการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบทั้งหมด ได้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน นักวิชาการที่ดิน อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดอำเภอ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆซึ่งกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบ
จากนั้นผู้อำนวยการสำนักอุทยานฯ ร่วมปล่อยแถวเจ้าหน้าที่กรมอุทยานกว่า 100 นาย ลงพื้นที่เข้าดำเนินการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายในระยะที่ 4 อีกจำนวน 8 เป้าหมาย พร้อมแจ้งความดำเนินดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบ 5 เป้าหมายแรกตั้งอยู่บริเวณชายหาดในทอน ต.สาคู ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้แก่ร้านอาหารบ้านราตรี ร้านอาหารอันโตนีโอ ร้านอาหารมาดากัสกา ร้านอาหาร คาเฟ่ อัลลาดิน และร้านอาหารเยลโล่ คาเฟ่2 ซึ่งมีการก่อสร้างเป็นร้านอาหารลักษณะถาวร ก่อสร้างห้องน้ำ ตั้งโต๊ะอาหาร ร่ม สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว ปิดกั้นทางลงชายหาด และทั้งที่จุดดังกล่าว องค์การบริหารส่วนตำบลสาคูได้เข้ามาจัดระเบียบชายหาด และทำข้อตกลงกับผู้ประกอบการในพื้นที่ไม่ให้มีการก่อสร้างในลักษณะถาวร จึงเชิญตัวเจ้าของมาพูดคุยในเบื้องต้นเพื่อรวบรวมหลักฐาน ก่อนจะแจ้งบังคับใช้มาตรา 22 เพื่อสั่งให้มีการรื้อถอนภายในระยะเวลาที่กำหนด
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบในเป้าหมายที่ 6 ที่ตั้งของสถานประกอบการ ธุรกิจดำน้ำของบริษัท อควา ไดร์ฟเวอร์ส จำกัด ซึ่งถัดไปจากชายหาดประมาณ 300 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานฯสิรินาถจึงให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบพร้อมทั้งรวบรวมหลักฐาน ก่อนจะเดินทางไปตรวจสอบในเป้าหมายที่ 7 อีก 1 จุด บริเวณรอยต่อของต.สาคูและต.เชิงทะเล ซึ่งเป็นสวนยางเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษ มีการก่อสร้างบ้านพักจำนวน 2 หลัง และมีร่องรอย การขุดหลุมเตรียมก่อสร้างบ้านพักอีกจำนวนมาก จุดนี้เอง มีผู้แสดงตนเป็นลูกจ้างเฝ้าสวนยาง เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบถาม ส่วนอีก1 เป้าหมาย ที่เจ้าหน้าที่จะแจ้งความดำเนินคดีคือถนนทางเข้าโรงแรมเพนนิซูล่า (โรงแรมร้าง) ต. สาคู ซึ่งมีการดำเนินคดีไปแล้วก่อนหน้า เพื่อสกัดกั้นการบุกรุกพื้นที่ป่าสมบูรณ์ที่นายทุนเตรียมออกเอกสารสิทธิ์อีกนับร้อยไร้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะมีการรวบรวมหลักฐานให้ครบทั้งหมด 8 เป้าหมาย ก่อนเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกฯตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 16 (1) (4) (13) ต่อพนักงานสอบสวน
ส่วนกรณีที่จะมีการโยกย้ายหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถนั้น นาย ชีวะภาพ ชีวะธรรม ตนได้รับคำสั่งให้ไปรับตำแหน่งในกรมป่าไม้เพื่อดูแลในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันจากนายทุนแต่อย่างไร โดยจะเดินทางไปรับตำแหน่งในวันที่ 22 พ.ค.นี้ และจะไม่มีผลกระทบกับการดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ ในเขตอุทยานสิรินาถแต่อย่างใด และฝากไปยังหัวหน้าอุทยานฯสิรินาถคนใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการต่อ ต้องกล้าที่จะดำเนินคดีฯ เพราะต้องเจอกับภาวะกดดันจากคนบางกลุ่ม และต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เพราะอาจมีการหยิบยื่นผลประโยชน์เข้ามาในหลายด้าน
ไต๋ก๋งเรือทูน่าชาวไต้หวันเสียชีวิตภายในเรือ คาดว่าน่าจะเกิดจากโรคประจำตัว
พบศพไต๋ก๋งเรือทูน่าชาวไต้หวันนอนเสียชีวิตภายในเรือ คาดว่าน่าจะเกิดจากโรคประจำตัว หลังออกเรือจับปลาทูน่ามาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้รับแจ้งจากเรือประมงปลาทูน่าชื่อ ซินซุนฟาง ด้วยได้เกิดเหตุไต่ก๋งเรือนอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องนอนของเรือลำดังกล่าว โดยจะนำศพมาขึ้นที่บริเวณท่าเรือศุลกากรจังหวัดภูเก็ต หลังจากรับแจ้งจึงประสานไปยังตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตพร้อมเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย ร.ต.ท. ภฤศธร อยู่ทอง ร.ต.ท. ฐาปนันท์ อัครกันทรากร รองสารวัตรตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต
โดยเวลา 10.35 น. เรือลำดังกล่าวได้เข้าจอดเทียบท่า ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต จึงได้ลงไปภายในเรือและเข้าไปภายในห้องนอนพบศพ นาย CHEN JUNG FU อายุ 54 ปี สัญชาติไต้หวัน สภาพนอนหงายสวมเสื้อแขนสั้น สวมกางเกงขายาว จากการตรวจสอบตามร่างกายไม่พบร่องการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตจึงได้นำศพส่งโรงพยาบาลวิชระภูเก็ต เพื่อให้แพทย์ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากการสอบทราบว่า ผู้ตายเป็นไต๋ก๋งเรือปลาทูน่าลำดังกล่าว โดยมีโรคประจำหลายโรค ซึ่งได้ออกไปหาปลาทูน่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 57 ที่ผ่านมา โดยในวันเปิดเหตุเรือลำดังกล่าวครบกำหนดที่จะนำปลามาขึ้นที่แพปลา แต่ระหว่างเดินทางกลับ นาย CHEN JUNG FU ได้นอนอยู่ภายในห้องนอน แต่ลูกเรือชาวประมงได้ไปปลุกให้ตื่นมาขับเรือต่อ ปรากฏว่าได้เสียชีวิตแล้ว จึงได้ประสานทางบริษัทให้ติดเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตมารับศพในที่สุดเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากโรคประจำตัว พร้อมประสานญาติให้มารับศพเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ได้รับแจ้งจากเรือประมงปลาทูน่าชื่อ ซินซุนฟาง ด้วยได้เกิดเหตุไต่ก๋งเรือนอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องนอนของเรือลำดังกล่าว โดยจะนำศพมาขึ้นที่บริเวณท่าเรือศุลกากรจังหวัดภูเก็ต หลังจากรับแจ้งจึงประสานไปยังตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตพร้อมเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย ร.ต.ท. ภฤศธร อยู่ทอง ร.ต.ท. ฐาปนันท์ อัครกันทรากร รองสารวัตรตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต
โดยเวลา 10.35 น. เรือลำดังกล่าวได้เข้าจอดเทียบท่า ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต จึงได้ลงไปภายในเรือและเข้าไปภายในห้องนอนพบศพ นาย CHEN JUNG FU อายุ 54 ปี สัญชาติไต้หวัน สภาพนอนหงายสวมเสื้อแขนสั้น สวมกางเกงขายาว จากการตรวจสอบตามร่างกายไม่พบร่องการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตจึงได้นำศพส่งโรงพยาบาลวิชระภูเก็ต เพื่อให้แพทย์ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากการสอบทราบว่า ผู้ตายเป็นไต๋ก๋งเรือปลาทูน่าลำดังกล่าว โดยมีโรคประจำหลายโรค ซึ่งได้ออกไปหาปลาทูน่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 57 ที่ผ่านมา โดยในวันเปิดเหตุเรือลำดังกล่าวครบกำหนดที่จะนำปลามาขึ้นที่แพปลา แต่ระหว่างเดินทางกลับ นาย CHEN JUNG FU ได้นอนอยู่ภายในห้องนอน แต่ลูกเรือชาวประมงได้ไปปลุกให้ตื่นมาขับเรือต่อ ปรากฏว่าได้เสียชีวิตแล้ว จึงได้ประสานทางบริษัทให้ติดเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตมารับศพในที่สุดเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากโรคประจำตัว พร้อมประสานญาติให้มารับศพเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พบปะข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน
เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 นายอภินันท์ จันทรังษี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการทำงานของข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ในสังกัด สปข. 5 และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน โดยมี นายสมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นางพิชญา เมืองเนาว์ ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในสังกัดสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 และประชาสัมพันธ์จังหวัดใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนให้การต้อนรับ ณ ร้านอาหารกันเอง
การเดินทางมาในครั้งนี้เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง แม้บ้านเมืองจะมีความขัดแย้ง แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ ก็ได้มีการทำงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและในท้องถิ่นของตนเองอย่างถูกต้องเที่ยงตรงและรวดเร็ว รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับข้าราชการผู้ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนภูมิภาค ตลอดจนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแก่คนในองค์กรเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนมากที่สุดในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์
การเดินทางมาในครั้งนี้เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง แม้บ้านเมืองจะมีความขัดแย้ง แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ ก็ได้มีการทำงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและในท้องถิ่นของตนเองอย่างถูกต้องเที่ยงตรงและรวดเร็ว รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับข้าราชการผู้ปฏิบัติงานอยู่ในส่วนภูมิภาค ตลอดจนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแก่คนในองค์กรเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนมากที่สุดในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสื่อในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์
สตูลจัดกิจกรรมคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ พร้อมออกหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนพื้นที่ละงู เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ
วันนี้ (๒๒ พ.ค. ๕๗) นายประยูร รัตนเสนีย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธาน เปิดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ และกิจกรรมออกหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้แก่ประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ณ สนามด้านหน้าข้างสระน้ำหนองปันหยา บ้านปากละงู ม.๒ ต.ละงู อ.ละงู จ.สตูล
ภายในงานมีกิจกรรมโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ กิจกรรมสนับสนุนโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว มีบริการตรวจรักษาโรคแก่ผู้ป่วยในพื้นที่ มีการออกร้านจำหน่ายสินค้า การจัดนิทรรศการจากหน่วยงานต่างๆ จากภาครัฐและเอกชน มีการมอบทุนการศึกษาเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส จำนวน ๒๐ ทุน ทั้งนี้สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล มอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค บริโภค และแจกแว่นฟรีแก่ผู้สูงอายุอีกด้วย
โอกาสนี้ นายดำรงค์ ดีสกูล นายอำเภอละงู กล่าวว่า อำเภอละงู อยู่ห่างจากจังหวัด ประมาณ ๕๐ กิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น ๖ ตำบล จำนวน ๖๑ หมู่บ้าน มีครัวเรือน จำนวน ๒๐,๖๖๘ ครัวเรือน ประชากร จำนวน ๗๐,๓๙๕ คน อาชีพของราษฎรส่วนใหญ่ ประกอบด้วย การทำประมงชายฝั่ง เกษตรกรรม ค้าขาย และการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อำเภอละงู ยังประสบปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาการท่องเที่ยว ขาดการบริหารจัดการที่ดี ปัญหาพื้นที่ทำกินอยู่ในเขตป่าสงวนและอุทยาน และปัญหาคุณภาพชีวิตและสังคม เช่น แรงงานต่างด้าว ปัญหายาเสพติด เป็นต้น ทำให้เกิดอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่อำเภอละงู แต่ก็ไม่ได้วิตกกังวล เนื่องจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินการแก้ไขแต่ละปัญหาอย่างต่อเนื่อง และหากไม่สามารถแก้ไขได้ก็จะเร่งนำปัญหาเข้าที่ประชุมปรึกษาทางจังหวัด เพื่อจัดทำเป็นนโยบายแก้ปัญหาระดับจังหวัดต่อไป
ภายในงานมีกิจกรรมโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ กิจกรรมสนับสนุนโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว มีบริการตรวจรักษาโรคแก่ผู้ป่วยในพื้นที่ มีการออกร้านจำหน่ายสินค้า การจัดนิทรรศการจากหน่วยงานต่างๆ จากภาครัฐและเอกชน มีการมอบทุนการศึกษาเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส จำนวน ๒๐ ทุน ทั้งนี้สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล มอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค บริโภค และแจกแว่นฟรีแก่ผู้สูงอายุอีกด้วย
โอกาสนี้ นายดำรงค์ ดีสกูล นายอำเภอละงู กล่าวว่า อำเภอละงู อยู่ห่างจากจังหวัด ประมาณ ๕๐ กิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น ๖ ตำบล จำนวน ๖๑ หมู่บ้าน มีครัวเรือน จำนวน ๒๐,๖๖๘ ครัวเรือน ประชากร จำนวน ๗๐,๓๙๕ คน อาชีพของราษฎรส่วนใหญ่ ประกอบด้วย การทำประมงชายฝั่ง เกษตรกรรม ค้าขาย และการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อำเภอละงู ยังประสบปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาการท่องเที่ยว ขาดการบริหารจัดการที่ดี ปัญหาพื้นที่ทำกินอยู่ในเขตป่าสงวนและอุทยาน และปัญหาคุณภาพชีวิตและสังคม เช่น แรงงานต่างด้าว ปัญหายาเสพติด เป็นต้น ทำให้เกิดอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่อำเภอละงู แต่ก็ไม่ได้วิตกกังวล เนื่องจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินการแก้ไขแต่ละปัญหาอย่างต่อเนื่อง และหากไม่สามารถแก้ไขได้ก็จะเร่งนำปัญหาเข้าที่ประชุมปรึกษาทางจังหวัด เพื่อจัดทำเป็นนโยบายแก้ปัญหาระดับจังหวัดต่อไป
กนกพิชญ์ / ข่าว
พังงา ฝึกอบรมลดกลุ่มเสี่ยงนอกสถานศึกษาต้านภัยยาเสพติด หลักสูตรเยาวชนอาสารักษาดินแดนต้านภัยยาเสพติด รุ่น ๑/๒๕๕๗
นายไชยวัฒน์ เทพี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า การสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับเร่งดำเนินการควบคุมพื้นที่เสี่ยงและพัฒนาเยาวชนนอกสถานศึกษาให้เป็นพลังในการพัฒนาสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กลุ่มเป้าหมายคือเด็กและเยาวชนเพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มใหญ่ในสังคมปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลและผลกระทบจากปัญหา หากเด็กและเยาวชนขาดภูมิคุ้มกันและขาดการอบรมดูแลชี้แนะอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครอง ก็อาจทำให้ค่านิยม ทัศนคติรวมทั้งพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานอันดีงามของสังคมได้ ขณะนี้ปัญหาเชิงสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหาและทางออกของสังคมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม รวมถึงสื่อมวลชนจะต้องมีบทบาทและทำหน้าที่ อย่างเข้มแข็งและเข้มข้น ในการนำพาให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเป็นระบบ จึงจำเป็นต้องให้เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ เข้าใจและสัมผัสปัญหา เป็นผู้ช่วยแจ้งเตือนเพื่อน ๆ ให้รู้เท่าทันและห่างไกลจากภัยต่าง ๆ อีกทั้งช่วยแจ้งผู้ใหญ่ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อที่จะช่วยกัน สร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับสังคม และที่สำคัญจะได้ช่วยกันป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ อย่างถูกต้องเหมาะสมและยั่งยืน
ผลที่ได้จากการฝึกอบรม คาดว่าเยาวชนที่เข้ารับการอบรมครั้งนี้ จำนวน ๖๑ คน ได้รับความรู้ แล้วนำความรู้ที่ได้ไปขยายผล ให้เพื่อน ๆ และผู้ใหญ่ได้รับทราบจะได้ช่วยกันป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป
ผลที่ได้จากการฝึกอบรม คาดว่าเยาวชนที่เข้ารับการอบรมครั้งนี้ จำนวน ๖๑ คน ได้รับความรู้ แล้วนำความรู้ที่ได้ไปขยายผล ให้เพื่อน ๆ และผู้ใหญ่ได้รับทราบจะได้ช่วยกันป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป
คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดพังงา ประชุมติดตามสอดส่องโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗
นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต ๗ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดพังงา เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดพังงา
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต ๗ กล่าวว่า การประชุมเน้นติดตามเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน( ๒๓ มกราคม ๕๗) ในสามประเด็น คือ โครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของ ก.ธ.จ.ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ,โครงการสัมมนาเครือข่ายภาคประชาชนของ ก.ธ.จ.ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ และการสอดส่องโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗
โครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของ ก.ธ.จ.พังงา เป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาท ภารกิจ อำนาจหน้าที่ ตลอดจนผลการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. ตามระเบียบให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปให้เกิดการรับรู้ ตระหนักถึงความสำคัญ รวมทั้งให้การยอมรับในบทบาทหน้าที่และการดำเนินงานของ ก.ธ.จ.
สำหรับ โครงการสัมมนาเครือข่ายภาคประชาชนของ ก.ธ.จ. เพื่อสร้างเครือข่ายภาคประชาชนและกำหนดแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง ก.ธ.จ.และเครือข่ายภาคประชาชนให้สามารถเป็นกลไกในการสอดส่องหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัดโดยการเสริมสร้างเครือข่ายให้มีความเข้มแข็งและเปิดโอกาสให้เครือข่ายได้เข้ามามีส่วนร่วมสอดส่องและสนับสนุนการดำเนินงานของ ก.ธ.จ.
ส่วนการสอดส่องโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗ จำนวน ๖ โครงการ งบประมาณ ๓๙,๔๕๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย ๑. โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดพังงา งบประมาณ ๑๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท ๒.โครงการพัฒนาศักยภาพสถานบริการสุขภาพเพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพและการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา งบประมาณ ๙,๗๕๐,๐๐๐ บาท ๓.โครงการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดพังงา งบประมาณ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๔.โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวิถีชุมชน งบประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๕.โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทและโครงการบริหารจัดการทรัพยากรประมงสู่ความสมดุลและยั่งยืน งบประมาณ ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต ๗ กล่าวว่า การประชุมเน้นติดตามเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน( ๒๓ มกราคม ๕๗) ในสามประเด็น คือ โครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของ ก.ธ.จ.ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ,โครงการสัมมนาเครือข่ายภาคประชาชนของ ก.ธ.จ.ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ และการสอดส่องโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗
โครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของ ก.ธ.จ.พังงา เป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาท ภารกิจ อำนาจหน้าที่ ตลอดจนผลการปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. ตามระเบียบให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปให้เกิดการรับรู้ ตระหนักถึงความสำคัญ รวมทั้งให้การยอมรับในบทบาทหน้าที่และการดำเนินงานของ ก.ธ.จ.
สำหรับ โครงการสัมมนาเครือข่ายภาคประชาชนของ ก.ธ.จ. เพื่อสร้างเครือข่ายภาคประชาชนและกำหนดแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง ก.ธ.จ.และเครือข่ายภาคประชาชนให้สามารถเป็นกลไกในการสอดส่องหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัดโดยการเสริมสร้างเครือข่ายให้มีความเข้มแข็งและเปิดโอกาสให้เครือข่ายได้เข้ามามีส่วนร่วมสอดส่องและสนับสนุนการดำเนินงานของ ก.ธ.จ.
ส่วนการสอดส่องโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗ จำนวน ๖ โครงการ งบประมาณ ๓๙,๔๕๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย ๑. โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดพังงา งบประมาณ ๑๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท ๒.โครงการพัฒนาศักยภาพสถานบริการสุขภาพเพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพและการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา งบประมาณ ๙,๗๕๐,๐๐๐ บาท ๓.โครงการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดพังงา งบประมาณ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๔.โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวิถีชุมชน งบประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๕.โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทและโครงการบริหารจัดการทรัพยากรประมงสู่ความสมดุลและยั่งยืน งบประมาณ ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๗ ในฐานะประธานกรรมการธรรมาภิบาล จังหวัดกระบี่ (ก.ธ.จ.กระบี่) ได้กำหนดให้มีการประชุม ก.ธ.จ. กระบี่ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗
ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๗ ในฐานะประธานกรรมการธรรมาภิบาล จังหวัดกระบี่ (ก.ธ.จ.กระบี่) ได้กำหนดให้มีการประชุม ก.ธ.จ. กระบี่ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗
วันนี้ 21 พฤษภาคม 2557 เวลา 09.30 น. นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขต ๗ ประธานกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในการประชุม ก.ธ.จ. กระบี่ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดกระบี่ อ.เมือง จ.กระบี่ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
วาระการประชุมที่สำคัญในครั้งนี้ได้มีวาระการตรวจติดตามโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณและดำเนินการในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ได้แก่โครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ( ครม.สัญจร ครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕) โครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว(ตึกอุบัติเหตุ) โรงพยาบาลจังหวัดกระบี่ โครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามอำนาจของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) โครงการย้ายสถานีเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงระบบ AM พร้อมเสาและสายอากาศ คลื่นความถี่ ๗๒๐ KHz (เพื่อออกอากาศชั่วคราว) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดกระบี่เป็นหน่วยรับผิดชอบ
นอกจากนี้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดสรรงบประมาณให้กับ ก.ธ.จ.กระบี่ เพื่อจัดทำโครงการ จำนวน ๒ โครงการ คือโครงการประชาสัมพันธ์การทำงานของ ก.ธ.จ. กระบี่ งบประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท ที่ประชุมมีมติให้ดำเนินการโปสเตอร์ ประกอบด้วย ภาพถ่ายคณะกรรมการฯ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ที่อยู่ (ฝ่ายบุคคล กธจ.กระบี่ และเบอร์โทรศัพท์) โดยขอความร่วมมือสถานีวิทยุและเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นเพื่อจัดรายการตามความเหมาะสมจัดทำสมุดคู่มือ (บันทึก) ขนาด A๕ (หากมีงบประมาณเพียงพอ) และโครงการสร้างเครือข่ายคณะกรรมการธรรมาธิบาลจังหวัดกระบี่ งบประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้ นายเอกณัฐ บุญยัง จัดทำโครงการ และกำหนดจัดทำโครงการภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ และกำหนดผู้เข้าอบรม จำนวน ๕๐ คน โดยให้ ก.ธ.จ. แต่ละท่านเป็นผู้คัดเลือกเครือข่ายเดิมและจัดหาเครือข่ายเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผู้เข้าอบรมตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
อำนวย ใจเกลี้ยง ภาพ/ข่าว
จังหวัดกระบี่ ประชุมชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การปฎิบัติตามการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฏอัยการศึก พ.ศ.2557
วันนี้ 21 พฤษภาคม 2557 เวลา 10.00 น. นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานประชุมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดเกี่ยวข้องกับการปฎิบัติตามการประกาศใช้กฎอัยการศึก ณ.ห้องประชุมพนมเบญจา ชั้น 5 ศาลากลางหลังใหม่ อ.เมือง จ.กระบี่ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ พนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประมาณ 150 คน นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่าการประชุมในครั้งนี้
เพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ในส่วนราชการ และประชาชนถึงการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างถูกต้อง เพื่อจุดประสงค์ของการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และเพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองมิให้เกิดความแตกแยก
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการจะก่อความรุนแรงให้ยุติการกระทำ ขอความร่วมมือผู้ใด หรือหน่วยงานใดที่มีการปลุกปั่น ยุยง ชักชวนให้เกิดความวุ่นวาย หรือก่อให้เกิดเหตุเผชิญหน้า การใช้สื่อใดๆ ไม่ควรเลือกข้าง ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้เกิดความเข้าใจที่ผิด และไม่ควรดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ให้กำชับเวรยามให้เข้มงวดเรื่องดูแล และรักษาความปลอดภัยอาคาร สำนักงานอย่างเคร่งครัด ซึ่งหากมีความเคลื่อนไหว หรือสถานการณ์ใดๆ ที่จะส่อเค้าให้เกิดความผิดปกติเกิดขึ้น ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบตลอด 24 ชั่วโมง และยังได้กำชับให้ทุกภาคส่วนได้ปฏิบัติตามประกาศกฎอัยการศึก และแนวทางการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยในระยะนี้จะมีการตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้มเป็นพิเศษในหลายพื้นที่ เพื่อสกัดกั้นอาวุธ และสิ่งของผิดกฎหมายต่างๆ
เพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ในส่วนราชการ และประชาชนถึงการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างถูกต้อง เพื่อจุดประสงค์ของการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และเพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองมิให้เกิดความแตกแยก
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการจะก่อความรุนแรงให้ยุติการกระทำ ขอความร่วมมือผู้ใด หรือหน่วยงานใดที่มีการปลุกปั่น ยุยง ชักชวนให้เกิดความวุ่นวาย หรือก่อให้เกิดเหตุเผชิญหน้า การใช้สื่อใดๆ ไม่ควรเลือกข้าง ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้เกิดความเข้าใจที่ผิด และไม่ควรดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ให้กำชับเวรยามให้เข้มงวดเรื่องดูแล และรักษาความปลอดภัยอาคาร สำนักงานอย่างเคร่งครัด ซึ่งหากมีความเคลื่อนไหว หรือสถานการณ์ใดๆ ที่จะส่อเค้าให้เกิดความผิดปกติเกิดขึ้น ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบตลอด 24 ชั่วโมง และยังได้กำชับให้ทุกภาคส่วนได้ปฏิบัติตามประกาศกฎอัยการศึก และแนวทางการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยในระยะนี้จะมีการตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้มเป็นพิเศษในหลายพื้นที่ เพื่อสกัดกั้นอาวุธ และสิ่งของผิดกฎหมายต่างๆ
อำนวย ใจเกลี้ยง ภาพ /ข่าว
ประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่ แจงสื่อ นำเสนอข่าวด้วยความรอบคอบ ช่วงประกาศกฎอัยการศึก
เวลา 13.00 น.วันที่ 21 พ.ค. 57 ที่ห้องประชุมสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่ นายนายวีระพงษ์ ไวทยวงศ์สกุล ประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่ เป็นประธานประชุมชี้แจงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั้ง โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ในการนำเสนอข่าวในช่วงของการประกาศกฎอัยการศึก โดยมีนายสุรินทร์ รักษาแก้ว ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศจังหวัดกระบี่ และสื่อมวนชนทุกแขนง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
นายวีระพงษ์ ไวทยวงศ์สกุล ประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในช่วงของการประกาศกฎอัยการศึก ขอให้สื่อมวลชนเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น โดยให้ปฎิบัติตามประกาศกฎอัยการศึกอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้มีการประกาศเป็นระยะๆ สำหรับในส่วนของสถานีวิทยุ ก็ให้มีการเชื่อมสัญญาณกับสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในการถ่ายทอดสัญญาณต่างๆนอกเหนือจากรายการปกติ และจากการตรวจสอบสถานีวิทยุ กว่า 40 สถานี ของจังหวัดกระบี่ ยังไม่พบการกระทำผิดกฎอัยการศึกแต่อย่างใด
หน่วยงานที่แจ้งประชาสัมพันธ์
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่
เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เดินเท้ากว่า5 กิโลเมตร บุกเข้ารื้อถอนต้นยางพาราและปาล์มน้ำมัน กว่า 1 พันต้น ในพื้นที่บุกรุกเขตอุทยานฯ ท้องที่ ม.6 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ ใกล้เขาหงอนนาคแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เนื้อที่กว่า20 ไร่ หลังถูกลักลอบบุกรุกแผ้วถาง และปลูกปาล์มน้ำมัน
เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เดินเท้ากว่า5 กิโลเมตร บุกเข้ารื้อถอนต้นยางพาราและปาล์มน้ำมัน กว่า 1 พันต้น ในพื้นที่บุกรุกเขตอุทยานฯ ท้องที่ ม.6 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ ใกล้เขาหงอนนาคแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง เนื้อที่กว่า20 ไร่ หลังถูกลักลอบบุกรุกแผ้วถาง และปลูกปาล์มน้ำมัน
วันที่ 22 พ.ค. 57 นายไชยธัช บุญภูพันธ์ตันติ หัวหน้าหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พร้อมด้วยนายบุญแนม ช่วยระดม ผช .หัวหน้าอุทยานฯ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ อุทยานฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปทส. รวมกว่า10 นาย เข้ารื้อถอนทำลายปาล์มน้ำมัน อายุ 1-2 ปี ในพื้นที่บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ม.6 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ รวม 3 แปลง เนื้อที่กว่า 20 ไร่ โดยเจ้าหน้าที่รื้อถอนทำลายต้นยางพารา ทั้งหมด 1,143 ต้น และต้นปาล์มน้ำมันอีก 15 ต้น รวมทั้งหมด 1,158 ต้น ตามประกาศ มาตรา 22 แห่งพ.ร.บ.อุทยาน พ.ศ. 2504 หลังพบมีการลักลอบเซาะร่องป่า ปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน เพื่อจับจองพื้นที่ แต่ไม่พบตัวผู้กระทำผิด
นายไชยธัช กล่าว่า พื้นที่ดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียน และได้เข้าตรวจสอบ เมื่อปี 2551 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2556 พบว่ามีการบุกรุก โดยการแผ้วถางป่า ก่อนนำพันธุ์ยางพาราและปาล์มน้ำมัน เข้ามาปลูกจนเต็มพื้นที่ แต่ระหว่างเจ้าหน้าที่เดินทางเข้าตรวจสอบ ผู้กระทำผิดก็ได้หลบหนีไปก่อนแล้ว จึงได้ยึดพื้นที่ และประกาศตามมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ.อุทยานฯ เพื่อให้เจ้าของที่ดินมาแสดงตัว แต่หลังผ่านไป3 เดือน ปรากฎว่าไม่มีใครมาแสดงตัว เจ้าหน้าที่จึงได้เข้ารื้อถอนทำลาย และฟื้นฟูสภาพป่าต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงาน เจ้าหน้าที่เดินทางเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร โดยใช้เวลานานกว่า1 ชั่วโมง กว่าจะเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเส้นทางลำบาก อยู่บนพื้นที่ลาดบนภูเขา ใกล้กับ เขาหงอนนาคแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดกระบี่ คาดว่าจะมีการปลูกอาสินเพื่อจับจองพื้นที่ เพื่อขายต่อให้นายทุน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนต่อไป
หน่วยงานที่แจ้งประชาสัมพันธ์
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่
ศาลจังหวัดตรัง ร่วมกับธนาคารออมสินเขตตรัง จัดโครงการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท สร้างโอกาสก่อนฟ้อง
ที่บริเวณหน้าอาคารศาลจังหวัดตรัง นายทวีศักดิ์ นคนันท์ รองผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท สร้างโอกาสก่อนฟ้อง ธนาคารออมสินเป็นสถาบันการเงินที่สนับสนุนด้านการเงินแก่ลูกค้าทั่วไป แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ค่าครองชีพสูงขึ้น และจากสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติภายในประเทศ ทำให้ลูกหนี้ของธนาคารมีขีดความสามารถในการชำระหนี้ลดลง หรือมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ กรณีดังกล่าวหากไม่ได้รับการแก้ไข ธนาคารจำเป็นจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งวิธีการดังกล่าวอาจเป็นการซ้ำเติมลูกหนี้ได้ ดังนั้น ศาลจังหวัดตรังร่วมกับธนาคารออมสินเขตตรังจัดโครงการดังกล่าวขึ้น โดยการนำระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ในการประนีประนอมระหว่างลูกหนี้และธนาคารออมสิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แทนการฟ้องคดีต่อศาล อันเป็นการบรรเทาและให้ความช่วยเหลือทั้งลูกหนี้และธนาคาร อีกทั้งเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคู่ความโดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ ตลอดจนลูกหนี้ธนาคารออมสินในจังหวัดตรังที่ไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญา จำนวน 350 ราย จะได้รับการแก้ไขสภาพหนี้ โดยผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจต่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ครั้งนี้
ที่ จ.ตรัง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 7 ประชุมคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดตรัง ลงพื้นที่ตรวจ และติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ทุ่งคลองสน)
ที่ห้องประชุมศรีตรัง ศาลากลางจังหวัดตรัง นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 7 ลงพื้นที่ที่จังหวัดตรัง เพื่อติดตามการดำเนินงาน และประชุมคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดตรัง ครั้งที่ 2/2557 โดยมี นายกิจ หลีกภัย นายกอบจ.ตรัง พร้อมเครือข่ายด้านต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมเพื่อนำเสนอปัญหาต่าง ๆ และในช่วงบ่ายลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร ครั้งที่ 3/2555 จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 20มีนาคม 2555) โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว(ทุ่งคลองสน) ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา
ซึ่งมีองค์การบริหารส่วนจ.ตรังรับผิดชอบ โดยงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมาทั้งสิ้น 24,799,000 บาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบท่อจ่ายน้ำประปา/หอถังสูง/หอถังน้ำใส/โรงสูบน้ำ/งานรายละเอียดเฉพาะแห่งจุดจ่ายน้ำ 1-3 / อาคารเก็บสัมภาระนักท่องเที่ยว / อาคารที่พักนักท่องเที่ยว /อาคารห้องน้ำสาธารณะ / อาคารสำนักงานและบริการข้อมูล / งานภูมิทัศน์ / ระบบสาธารณูปโภคและทดสอบคุฯสมบัติของชั้นดิน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างได้ประมาณร้อยละ 53.26 และจะเสร็จสิ้นตามสัญญาประมาณเดือนกันยายน 2557 นี้ โดยจากการติดตามโครงการฯ นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 7 กล่าวว่าพอใจและได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการตามที่ขอรับจัดสรรงบประมาณ สำหรับโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว(ทุ่งคลองสน) มีหน้าท่ากว้าง 16 เมตร ยาว 38 เมตร มีสะพานเข้าสู่ท่าเทียบเรือยาว 36 เมตร พร้อมทั้งมีจุดลงเรือรอบหน้าท่าทั้งหมด 8 จุด ทำให้เรือท่องเที่ยวสามารถเทียบท่าได้ครั้งละอย่างน้อย 8 ลำ นักท่องเที่ยวจึงไม่ต้องปีนป่ายระหว่างลำเรือเพื่อลงเรืออีกลำหนึ่ง ก่อให้เกิดความสะดวกต่อนักท่องเที่ยวและสะดวกต่อการขนถ่ายสัมภาระ และหากการพัฒนาท่าเรือแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์ จะมีการนำเสนอให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวทราบถึงศักยภาพดังกล่าวของ จ.ตรัง ในเวทีระดับชาติและในระดับนานาชาติต่อไป
ซึ่งมีองค์การบริหารส่วนจ.ตรังรับผิดชอบ โดยงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมาทั้งสิ้น 24,799,000 บาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบท่อจ่ายน้ำประปา/หอถังสูง/หอถังน้ำใส/โรงสูบน้ำ/งานรายละเอียดเฉพาะแห่งจุดจ่ายน้ำ 1-3 / อาคารเก็บสัมภาระนักท่องเที่ยว / อาคารที่พักนักท่องเที่ยว /อาคารห้องน้ำสาธารณะ / อาคารสำนักงานและบริการข้อมูล / งานภูมิทัศน์ / ระบบสาธารณูปโภคและทดสอบคุฯสมบัติของชั้นดิน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างได้ประมาณร้อยละ 53.26 และจะเสร็จสิ้นตามสัญญาประมาณเดือนกันยายน 2557 นี้ โดยจากการติดตามโครงการฯ นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 7 กล่าวว่าพอใจและได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการตามที่ขอรับจัดสรรงบประมาณ สำหรับโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว(ทุ่งคลองสน) มีหน้าท่ากว้าง 16 เมตร ยาว 38 เมตร มีสะพานเข้าสู่ท่าเทียบเรือยาว 36 เมตร พร้อมทั้งมีจุดลงเรือรอบหน้าท่าทั้งหมด 8 จุด ทำให้เรือท่องเที่ยวสามารถเทียบท่าได้ครั้งละอย่างน้อย 8 ลำ นักท่องเที่ยวจึงไม่ต้องปีนป่ายระหว่างลำเรือเพื่อลงเรืออีกลำหนึ่ง ก่อให้เกิดความสะดวกต่อนักท่องเที่ยวและสะดวกต่อการขนถ่ายสัมภาระ และหากการพัฒนาท่าเรือแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์ จะมีการนำเสนอให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวทราบถึงศักยภาพดังกล่าวของ จ.ตรัง ในเวทีระดับชาติและในระดับนานาชาติต่อไป
อบจ.ตรัง จัดโครงการอบรมสัมมนาเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ.ตรัง
ที่โรงแรมวัฒนา พาร์ค อำเภอเมืองตรัง นายกิจ หลีกภัย นายก อบจ.ตรัง ในนามประธานเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ.ตรัง เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมสัมมนาเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ.ตรัง ซึ่งประกอบด้วยอบจ.ตรัง เทศบาล จำนวน 22 แห่ง และอบต. จำนวน 77 แห่ง รวม 100 องค์กร โดยในการประชุม นายกอบจ.ตรัง ประธานสภาอบจ.ตรัง และนายประมวล โอบอ้อม หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมการผลิต สำนักงานเกษตร จ.ตรัง ร่วมกันมอบรางวัลผู้ชนะโครงการประกวดปลูกไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้ประดับ เขตสองข้างทาง ตามโครงการพัฒนาเมืองตรังให้น่าอยู่ ปี 2556 ซึ่ง อบจ.ตรังร่วมกับสำนักงานเกษตร จ.ตรังดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านร่วมมือร่วมใจกันปลูกไม้ยืนต้นแซมด้วยดอกไม้ประดับ สองข้างทาง และการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรในการพัฒนาหมู่บ้านในชนบท ให้มีความสวยงาม สะอาด ร่มรื่น สร้างความประทับใจแก่ผู้สัญจรผ่านไปมา หรือผู้ที่มาพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ใน จ.ตรัง ซึ่งในปี 2556 อบจ.ตรัง สนับสนุนงบประมาณ 3 แสนบาทดำเนินโครงการฯ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 20 สายถนน ในพื้นที่ 6 อำเภอ ผลการพิจารณาตัดสินของคณะกรรมการฯ มีดังนี้ รางวัลที่ 1 ถนนสายต้นโหนด-รัษฎา,ต้นโหนด-ต้นเลียบ บ้านกลางเหนือ หมู่ที่ 7 ตำบลควนเมา อ.รัษ ฎา รับรางวัลเงินสด 8 หมื่นบาท พร้อมโล่รางวัล /รางวัลที่ 2 ถนนสายบ้านทุ่งแดด-ควนพญา บ้านทุ่งแดด หมู่ที่ 1 ตำบลบางกุ้ง อำเภอห้วยยอด รับเงินรางวัล 6 หมื่นบาท พร้อมโล่รางวัล / รางวัลที่ 3 ถนนสายหลังเขา-นาตาล่วง บ้านหลังควน หมู่ที่ 21 ตำบลเขาวิเศษ อำเภอวังวิเศษ รับรางวัลเงินสด 3 หมื่นบาท พร้อมโล่รางวัล และรางวัลชมเชย อันดับ 1 จำนวน 6 รางวัล รับรางวัลเงินสดรางวัลละ 1หมื่นบาทพร้อมโล่รางวัล รางวัลชมเชย อันดับ 2 จำนวน 5 รางวัล รับรางวัลเงินสดรางวัลละ 8 พันบาทพร้อมโล่รางวัล
หลังจากนั้นเป็นวาระการพบผู้บริหารท้องถิ่น ประธานสภาฯและปลัดฯ โดยนายสำราญ เก้าเอี้ยน นักวิชาการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชำนาญการพิเศษ สำนักงานท้องถิ่นจ.ตรัง /นายอภิชิต วิโนทัย นายกเทศมนตรีนครตรัง เพื่อทำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจเรื่องบ่อขยะ โดยยืนยันว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 25 แห่งในจ.ตรัง ซึ่งเคยนำขยะมาทิ้งที่บ่อขยะกับเทศบาลนครตรัง จะได้ใช้บริการตามปกติภายในต้นเดือนมิ.ย. 2557 ขณะนี้เทศบาลนครตรังอยู่ในระหว่างว่าจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการกำจัดขยะ มาดำเนินการกำจัดขยะเก่า และกำจัดขยะใหม่ ให้ถูกต้องตามที่เทศบาลนครตรังกำหนด นายกอบจ.ตรัง ได้เสนอแนวคิดการกำจัดขยะโดยวิธีเผา ซึ่งจะมีการศึกษาดูงานวิธีการทำลายขยะในรูปแบบที่เหมาะสมของบริษัทต่างๆ เพื่อนำมาสรุปและจัดทำโครงการสมทบงบประมาณกับองค์ปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถคัดแยกขยะได้เป็นระบบ และมีพื้นที่ในการดำเนินการ และพูดถึงโครงการสมทบงบประมาณถนนเครือข่ายในอัตรา 60: 40 ซึ่งบูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน โดยปี 2557 อบจ.ตรัง สรุปโครงการสมทบงบประมาณร่วมกับอบต. ทั้งสิ้น 21 สายถนน เป็นระยะทาง 18,756 กิโลเมตร รวมงบประมาณดำเนินการร่วมกันทั้งสิ้น 76,212,000 บาท แยกเป็นของอบจ.ตรัง จำนวน 45,727,200 บาท และของอบต.จำนวน 30,484,800 บาท
หลังจากนั้นเป็นวาระการพบผู้บริหารท้องถิ่น ประธานสภาฯและปลัดฯ โดยนายสำราญ เก้าเอี้ยน นักวิชาการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชำนาญการพิเศษ สำนักงานท้องถิ่นจ.ตรัง /นายอภิชิต วิโนทัย นายกเทศมนตรีนครตรัง เพื่อทำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจเรื่องบ่อขยะ โดยยืนยันว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 25 แห่งในจ.ตรัง ซึ่งเคยนำขยะมาทิ้งที่บ่อขยะกับเทศบาลนครตรัง จะได้ใช้บริการตามปกติภายในต้นเดือนมิ.ย. 2557 ขณะนี้เทศบาลนครตรังอยู่ในระหว่างว่าจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการกำจัดขยะ มาดำเนินการกำจัดขยะเก่า และกำจัดขยะใหม่ ให้ถูกต้องตามที่เทศบาลนครตรังกำหนด นายกอบจ.ตรัง ได้เสนอแนวคิดการกำจัดขยะโดยวิธีเผา ซึ่งจะมีการศึกษาดูงานวิธีการทำลายขยะในรูปแบบที่เหมาะสมของบริษัทต่างๆ เพื่อนำมาสรุปและจัดทำโครงการสมทบงบประมาณกับองค์ปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถคัดแยกขยะได้เป็นระบบ และมีพื้นที่ในการดำเนินการ และพูดถึงโครงการสมทบงบประมาณถนนเครือข่ายในอัตรา 60: 40 ซึ่งบูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน โดยปี 2557 อบจ.ตรัง สรุปโครงการสมทบงบประมาณร่วมกับอบต. ทั้งสิ้น 21 สายถนน เป็นระยะทาง 18,756 กิโลเมตร รวมงบประมาณดำเนินการร่วมกันทั้งสิ้น 76,212,000 บาท แยกเป็นของอบจ.ตรัง จำนวน 45,727,200 บาท และของอบต.จำนวน 30,484,800 บาท
จังหวัดตรัง ดำเนินตามคำสั่ง กอ.รส.ในการเร่งขจัดอาวุธสงคราม ยาเสพติด และปัญหาอาชญากรรม ที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันการนำอาวุธสงครามมาก่อเหตุ
หลังจากที่นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้เดินทางไปรับนโยบายจาก กอ.รส. เกี่ยวกับการกวดขันในเรื่องของอาวุธสงคราม ยาเสพติด คดีอุกฉกรรจ์ และเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ เพื่อความสงบเรียบร้อย ผลปรากฏว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตรังก็สามารถพร้อมด้วย พ.ต.อ ชัยรัตน์ กาญจนเนตร ผู้กำกับการ สภ.เมืองตรัง และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมแกงค์โจรกรรมรถจักรยานยนต์ที่ออกก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองตรัง จำนวน 6 คน ประกอบด้วย 1 นายเจริญหรือต้น สุภารัตน์ อายุ 22ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/9 ม.4 ต.บ้านควน อ.เมือง จ.ตรัง 2.นายมนัสหรือแบงค์ สมประสงค์ อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ถ.รัษฎาอุทิศ2 อ.กันตัง จ.ตรัง และผู้ต้องอีก 4 คน ซึ่งเป็นเยาวชน พร้อมตรวจยึดรถจักรยานยนต์ จำนวน 7 คัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายเจริญ ในคดียาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า 1,811เม็ด ที่บ้านเลขที่ 42/9 ม.4 ต.บ้านควน อ.เมือง จ.ตรัง และตรวจยึดที่รับซื้อไว้ด้วยการแลกกับยาบ้า จำนวน 2 คัน ขยายผลจนสามารถติดตามตัวนายมนัสได้และติดตามตัวผู้กระทำผิดซึ่งเป็นเยาวชนอีก 4 คน ตรวจยึดรถได้เพิ่มอีก 4 คัน โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ในพื้นที่จังหวัดตรัง ซึ่งบางคันเอามาขับขี่เองและบางคันนำไปแลกกับยาบ้ามาเสพ รวมไปถึงการแถลงการณ์จับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมอาวุธปืนสงครามคือนายนพพล สุวารีย์ อายุ 28ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/1หมู่ที่ 2 ต.วังวน อ.กันตัง จ.ตรัง พร้อมด้วยของกลาง อาวุธปืนเอ็ม 16 พร้อมเครื่องกระสุนปืน จำนวน 30นัด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ในพื้นที่ ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง
นอกจากนี้ยังจับกุมผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ปี 2556 ได้อีกจำนวน 2คน คือ นายพูพีรณัฐ ตะนากรณ์ อายุ 29 ปี และนายธีรศักดิ์ ดำเขียว อายุ 38 ปี โดยทั้งสองคน อยู่บ้านเลขที่ 55/5 ม.5ต.นาโยงใต้ ตามหมายจับของศาลจังหวัดตรัง ในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยได้ไตร่ตรองเอาไว้ก่อน และร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ยังจับกุมผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ปี 2556 ได้อีกจำนวน 2คน คือ นายพูพีรณัฐ ตะนากรณ์ อายุ 29 ปี และนายธีรศักดิ์ ดำเขียว อายุ 38 ปี โดยทั้งสองคน อยู่บ้านเลขที่ 55/5 ม.5ต.นาโยงใต้ ตามหมายจับของศาลจังหวัดตรัง ในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยได้ไตร่ตรองเอาไว้ก่อน และร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
นายก อบต.สวนหลวงมอบกระเบื้องช่วยเหลือประชาชนเหตุสาธารณภัยลมกระโชกแรงในพื้นที่ต.สวนหลวง
เมื่อพุธ ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ องค์การบริหารส่วนตำบลสวนหลวง นายบุญยืน ประทุมมาศ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสวน พร้อมด้วย นายอรุณ แก้วช่วย รองนายก อบต.สวนหลวง มอบกระเบื้องให้ความช่วยเหลือครอบครัว นางหวง ปานมี ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๔๖๒ หมู่ที่ ๓ ตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากหลายสัปดาห์ ที่ผ่านมาได้เกิดลมพายุอย่างรุนแรงในเขตตำบลสวนหลวง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก
นายบุญยืน ประทุมมาศ กล่าว่า“เนื่องจากองค์การบริหารส่วนตำบลสวนหลวง มีงบประมาณเพื่อช่วยเหลือราษฎรผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุสาธารณภัยลมกระโชกแรง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๓๕ ข้อ ๑๒ (๑) ข้อ ๒๗ (๖) แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่๙ พ.ศ.๒๕๕๓ ที่สามารถให้ความช่วยเหลือขั้นต้นได้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ” ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนในพื้นที่ตำบลสวนหลวงได้รับความเดือดร้อน ประมาณ ๑๒ ครัวเรือน
นายบุญยืน ประทุมมาศ กล่าว่า“เนื่องจากองค์การบริหารส่วนตำบลสวนหลวง มีงบประมาณเพื่อช่วยเหลือราษฎรผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุสาธารณภัยลมกระโชกแรง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๓๕ ข้อ ๑๒ (๑) ข้อ ๒๗ (๖) แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่๙ พ.ศ.๒๕๕๓ ที่สามารถให้ความช่วยเหลือขั้นต้นได้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ” ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนในพื้นที่ตำบลสวนหลวงได้รับความเดือดร้อน ประมาณ ๑๒ ครัวเรือน
นายพิชัย ชูกลิ่น // ศูนย์ข่าวประชาสัมพันธ์ อบต.สวนหลวง // รายงาน
จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดโครงการเทิดทูนสถาบัน
จังหวัดนครศรีธรรมราชจัดโครงการเทิดทูนสถาบัน และหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนชาวอำเภอท่าศาลา ที่วัดโคกตะเคียน
วันนี้ (22 พ.ค.57 ) นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดโครงการ“เทิดทูนสถาบัน และหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” ประจำเดือนพฤษภาคม 2557 แก่ชาวอำเภอท่าศาลา ที่วัดโคกตะเคียน หมู่ที่ 4 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา โดยจัดให้มีพิธีทางศาสนาทอดผ้าป่าเพื่อนำปัจจัยถวายวัดโคกตะเคียน เป็นเงิน 51,500.- บาท จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดเปิดกรวยกระทงดอกไม้ กล่าวนำปฏิญาณตนเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามโครงการเทิดทูนสถาบัน มีหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียนและประชาชน เข้าร่วมพิธี โดยปฏิญาณว่าจะร่วมกันเทิดทูนและป้องป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และจะร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล โดยผู้เข้าร่วมพิธีได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีมหาราชา จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดโอกาสให้นายสุระ สุรวัฒนากุล นายอำเภอท่าศาลา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นเสนอปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปสู่การเยียวยาแก้ไขต่อไป
โอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กล่าวพบปะกับหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึก เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ กอ.รส. ได้มีคำสั่งฉบับที่ 10 ห้ามข้าราชการ เจ้าหน้าที่พลเรือนและประชาชน พกพาหรือใช้อาวุธสงครามและวัตถุระเบิดโดยเด็ดขาด จึงขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วย หากกระทำความผิดจะถูกจับกุมดำเนินคดีต้องขึ้นศาลทหาร
ต่อจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการ ได้มอบทุนการศึกษาแก่เด็กเล็ก นักเรียนด้อยโอกาส มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องนุ่งห่มแก่ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส มอบอุปกรณ์กีฬาให้โรงเรียน และตรวจเยี่ยม หน่วยงานภาครัฐทุกกระทรวง กรม ภาคเอกชนที่ออกให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งมีประชาชนในพื้นที่ตำบลสระแก้ว และพื้นที่ใกล้เคียงไปรับบริการจำนวนมาก สำหรับการโครงการหน่วยบำบัดทุก บำรุงสุขฯครั้งต่อไป ในวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ให้บริการประชาชนที่วัดป่าหวาย ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
วันนี้ (22 พ.ค.57 ) นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดโครงการ“เทิดทูนสถาบัน และหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” ประจำเดือนพฤษภาคม 2557 แก่ชาวอำเภอท่าศาลา ที่วัดโคกตะเคียน หมู่ที่ 4 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา โดยจัดให้มีพิธีทางศาสนาทอดผ้าป่าเพื่อนำปัจจัยถวายวัดโคกตะเคียน เป็นเงิน 51,500.- บาท จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดเปิดกรวยกระทงดอกไม้ กล่าวนำปฏิญาณตนเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามโครงการเทิดทูนสถาบัน มีหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียนและประชาชน เข้าร่วมพิธี โดยปฏิญาณว่าจะร่วมกันเทิดทูนและป้องป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และจะร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล โดยผู้เข้าร่วมพิธีได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีมหาราชา จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดโอกาสให้นายสุระ สุรวัฒนากุล นายอำเภอท่าศาลา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นเสนอปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปสู่การเยียวยาแก้ไขต่อไป
โอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กล่าวพบปะกับหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึก เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ กอ.รส. ได้มีคำสั่งฉบับที่ 10 ห้ามข้าราชการ เจ้าหน้าที่พลเรือนและประชาชน พกพาหรือใช้อาวุธสงครามและวัตถุระเบิดโดยเด็ดขาด จึงขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วย หากกระทำความผิดจะถูกจับกุมดำเนินคดีต้องขึ้นศาลทหาร
ต่อจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการ ได้มอบทุนการศึกษาแก่เด็กเล็ก นักเรียนด้อยโอกาส มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องนุ่งห่มแก่ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส มอบอุปกรณ์กีฬาให้โรงเรียน และตรวจเยี่ยม หน่วยงานภาครัฐทุกกระทรวง กรม ภาคเอกชนที่ออกให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งมีประชาชนในพื้นที่ตำบลสระแก้ว และพื้นที่ใกล้เคียงไปรับบริการจำนวนมาก สำหรับการโครงการหน่วยบำบัดทุก บำรุงสุขฯครั้งต่อไป ในวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ให้บริการประชาชนที่วัดป่าหวาย ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยให้บริการแก่ชาวอำเภอท่าศาลา
จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยให้บริการแก่ชาวอำเภอท่าศาลา ณ วัดโคกตะเคียน
วันนี้ (22 พ.ค.57) นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยให้บริการแก่ชาวอำเภอท่าศาลา ณ วัดโคกตะเคียน ต.สระแก้ว ซึ่งสำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราชได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ร่วมกันจัดขึ้นโดยบูรณาการร่วมกับโครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขสร้างรอยยิ้มให้แก่ประชาชน เพื่อให้เกษตรกรที่มีปัญหาด้านการเกษตร สามารถเข้าถึงบริการทางวิชาการ และได้รับการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรอย่างครบวงจร เช่น คลินิกพืช คลินิกสัตว์ คลินิกประมง คลินิกดิน คลินิกบัญชี คลินิกสหกรณ์ คลินิกกฎหมาย (ส.ป.ก.) คลินิกชลประทาน เป็นต้น รวมทั้งการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก
จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยให้บริการแก่ชาวอำเภอท่าศาลา ณ วัดโคกตะเคียน
วันนี้ (22 พ.ค.57) นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ โดยให้บริการแก่ชาวอำเภอท่าศาลา ณ วัดโคกตะเคียน ต.สระแก้ว ซึ่งสำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราชได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ร่วมกันจัดขึ้นโดยบูรณาการร่วมกับโครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขสร้างรอยยิ้มให้แก่ประชาชน เพื่อให้เกษตรกรที่มีปัญหาด้านการเกษตร สามารถเข้าถึงบริการทางวิชาการ และได้รับการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรอย่างครบวงจร เช่น คลินิกพืช คลินิกสัตว์ คลินิกประมง คลินิกดิน คลินิกบัญชี คลินิกสหกรณ์ คลินิกกฎหมาย (ส.ป.ก.) คลินิกชลประทาน เป็นต้น รวมทั้งการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก
กระทรวงทรัพย์ฯจัดประชุมวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2557
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2557 ระหว่างวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2557 ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์นครศรีธรรมราช
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้(22 พ.ค.57) ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ดร.วิจารย์ สิมฉายา รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2557 เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ(Island Biodiversity) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-224 พฤษภาคม 2557 โดยมีว่าที่ ร.ต.ฐิตวัฒน เชาวลิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวต้อนรับ และ รศ.ดร.ก้าน จันทร์พรหมมา รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและเครือข่ายสังคม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวรายงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ และความหลากหลายทางชีวภาพทางภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อเผยแพร่พันธกรณี มติการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนแผนกลยุทธ์สำหรับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพระยะ ค.ศ. 2011-2020( พ.ศ. 2554 - 2563) อีกทั้งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพให้ดำรงอยู่และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม และเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ งานวิจัยด้านความหลากหลายทางงชีวภาพทางภาคใต้ และความหลายหลายทางชีวภาพของเกาะ สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ นักวิจัย ครู อาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนทั่วไปที่สนใจ ประมาณ 300 คน โดยมีการบรรยาย การอภิปราย การนำเสนอผลงานทางวิชาการ การจัดแสดงนิทรรศการและการศึกษาดูงานนอกสถานที่
รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ เป็นหนึ่งในเจ็ดโปรแกรมงานหลักภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐชายฝั่งที่มีเกาะอยู่จำนวนมากทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายงานว่าประเทศไทยมีเกาะจำนวน 936 เกาะ กระจายอยู่ใน 19 จังหวัด โดยในพื้นที่อ่าวไทยมีจำนวน 374 เกาะ และฝั่งทะเลอันดามันมีจำนวน 562 เกาะ ซึ่งหลายพื้นที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยหรือแหล่งวางไข่ของชนิดพันธุ์ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เช่น เการะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศหรือ แรมซาร์ไซต์ เป็นแหล่งวางไข่ของเต่าตนุ และเต่ากระ ซึ่งอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ดังนั้น มนุษย์จึงควรให้ความสนใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยการสร้างความตระหนักและร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้ยั่งยืน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพเหล่านั้นและดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่นได้อย่างกลมกลืนตลอดไป
ทั้งนี้ วันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Day for Biological Diversity) โดยในปี ค.ศ. 2014 สำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพได้กำหนดหัวข้อคือ ความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ (Island Biodiversity)
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้(22 พ.ค.57) ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช ดร.วิจารย์ สิมฉายา รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุม วันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2557 เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ(Island Biodiversity) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-224 พฤษภาคม 2557 โดยมีว่าที่ ร.ต.ฐิตวัฒน เชาวลิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวต้อนรับ และ รศ.ดร.ก้าน จันทร์พรหมมา รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและเครือข่ายสังคม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวรายงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ และความหลากหลายทางชีวภาพทางภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อเผยแพร่พันธกรณี มติการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนแผนกลยุทธ์สำหรับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพระยะ ค.ศ. 2011-2020( พ.ศ. 2554 - 2563) อีกทั้งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพให้ดำรงอยู่และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม และเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ งานวิจัยด้านความหลากหลายทางงชีวภาพทางภาคใต้ และความหลายหลายทางชีวภาพของเกาะ สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ นักวิจัย ครู อาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนทั่วไปที่สนใจ ประมาณ 300 คน โดยมีการบรรยาย การอภิปราย การนำเสนอผลงานทางวิชาการ การจัดแสดงนิทรรศการและการศึกษาดูงานนอกสถานที่
รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ เป็นหนึ่งในเจ็ดโปรแกรมงานหลักภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐชายฝั่งที่มีเกาะอยู่จำนวนมากทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายงานว่าประเทศไทยมีเกาะจำนวน 936 เกาะ กระจายอยู่ใน 19 จังหวัด โดยในพื้นที่อ่าวไทยมีจำนวน 374 เกาะ และฝั่งทะเลอันดามันมีจำนวน 562 เกาะ ซึ่งหลายพื้นที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยหรือแหล่งวางไข่ของชนิดพันธุ์ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เช่น เการะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศหรือ แรมซาร์ไซต์ เป็นแหล่งวางไข่ของเต่าตนุ และเต่ากระ ซึ่งอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ดังนั้น มนุษย์จึงควรให้ความสนใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยการสร้างความตระหนักและร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้ยั่งยืน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพเหล่านั้นและดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่นได้อย่างกลมกลืนตลอดไป
ทั้งนี้ วันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Day for Biological Diversity) โดยในปี ค.ศ. 2014 สำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพได้กำหนดหัวข้อคือ ความหลากหลายทางชีวภาพของเกาะ (Island Biodiversity)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)