ชุดปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ขยายผล ล่อซื้อและสามารถจับกุมนักค้ายาเสพติด ยึดของกลางยาบ้า 2,000 เม็ด และยาไอซ์ 100.80 กรัม
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเฉพาะกิจ ชุดปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตเปิดเผยเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.วันที่ 28กรกฎาคมนี้ว่า พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัตน์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค8 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ภูเก็ต พ.ต.อ.อารยะพันธ์ พุกบัวขาว รองผู้บังคับการ พ.ต.อ.สันติ ชัยนิราภัย ผู้กำกับการสืบสวนร่วมกันเป็นผู้อำนวยการ สนับสนุน การปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด และพ.ต.ท.จรัล บางประเสริฐ หัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกันปฏิบัติตามแผนระดมกวาดล้างอาชญากรรม อาวุธ และยาเสพติด ตามนโยบายของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8
ทั้งนี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตามแผนระดมกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดสามารถจับกุมนายอำนาจ หรือน้อต รสสุคนธ์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 2 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ที่ห้องพักเลขที่ 88/744 แฟลต เอื้ออาทร อาคาร 7 หมู่ที่ 3 ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต พร้อมยึดของกลาง รวม 5 รายการ คือ ยาไอซ์ บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส น้ำหนักรวมประมาณ 100.80 กรัม พันด้วยกระดาษสาสีเหลือง และซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกแบบมีหูหิ้วสีขาว วางอยู่บนกล่องพลาสติก ภายในห้องนอน,ยาบ้าเม็ดสีส้ม มีอักษรWY ปรากฏบนเม็ด บรรจุอยู่ในถุงซิป สีฟ้า จำนวน 10 ถุง รวม 1980 เม็ด และ รวมยาบ้าสีเขียว อีกถุงละ 2 เม็ด รวมเป็นทั้งหมด 2,000 เม็ด ,เครื่องชั่งดิจิตอล 1 เครื่อง ,อุปกรณ์การเสพยาไอซ์ 1 ชุด และโทรศัพท์มือถือ อีก 1 เครื่อง และพนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า - ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย
สำหรับการจับกุมนักค้ายาเสพติด รายนี้ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเฉพาะกิจ ชุดปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พยายามแกะรอยหรือติดตามสืบสวน สอบสวนขยายผลมาจากการจับกุม นางสาวเสวลักษณ์ หรือจ๊ะ อาจหาญ พร้อมยึดของกลาง ยาไอซ์ 66.53 กรัม เมื่อเร็วๆนี้ และ ผู้ต้องหารายนี้ ให้การรับสารภาพว่า ซื้อยาไอซ์มาจากนายอำนาจ หรือน้อต รสสุคนธ์ อีกต่อหนึ่ง และ ชุดจับกุมจึง ใช้วิธีการล่อซื้อ และสามารถจับกุม ได้พร้อมของกลางทั้งหมด ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี ในชั้นสอบสวน นายอำนาจ หรือน้อต รสสุคนธ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยเฉพาะรับสารภาพว่า ยาเสพติดทั้งหมดเป็นของตนเอง ที่ไปรับ มาจากบริเวณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่อยู่บริเวณหลังมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร โดยติดต่อซื้อผ่าน จากเอเยนต์ ที่ชื่อว่า นางเจ้ ไม่ทราบนามสกุล โดยติดต่อทางหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ คือยาไอซ์ 1 ขีด ในราคา 160,000 บาท และยาบ้า 1 มัด 2,000 เม็ด ราคา 240,000บาท โดยเครือข่าย ของ นางเจ้ เป็นผู้นำเอายาเสพติด มาวางไว้ และนัดหมายให้ไปเอา จากนั้น โดยสารรถประจำทางสาวกรุงเทพมหานคร - ภูเก็ต ที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ และ นำมาจำหน่าย ต่อให้กับนางสาวเสาวลักษณ์ หรือจ๊ะ อาจหาญ ตามที่ ทั้งคู่ ตกลงกัน คือ ยาไอซ์ ราคาขีดละ 250,000 บาท และ ยาบ้า 2,000 เม็ด ราคา 280,000 บาท แต่ถูกซ้อนแผน ล่อซื้อ และ เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดจับกุมตัวได้เสียก่อน
วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ชลประทานระนอง เร่งระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้นรองรับฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ยืนยันอ่างเก็บน้ำแข็งแรงดี
ชลประทานระนอง เร่งระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้นรองรับฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง ยืนยันอ่างเก็บน้ำแข็งแรงดี
นายสันต์ จรเจริญ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานระนอง กล่าวจากสถานการณ์ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องของจังหวัดระนอง ทำให้ระดับน้ำภายในอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้น ต.หาดหาดส้มแป้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใช้ในการอุปโภคของ อ.เมืองระนอง มีปริมาณน้ำเต็ม 100% โดยในขณะนี้ทางโครงการชลประทานระนองได้ดำเนินการเร่งระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำ โดยได้ติดตั้งท่อเหล็กจำนวน 8 ท่อ เพื่อทำกาลักน้ำ ซึ่งจะระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นอีก 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากเดิมที่ระบายได้ 350,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้ในขณะนี้สามารถระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้นได้วันละ 550,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อรองรับปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าจะระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เหลือ 60% ของอ่าง จึงจะหยุดระบายน้ำออก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่บริเวณคลองหาดส้มแป้น พร้อมยืนยันว่าอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้นอยู่ในสภาพที่ดีแข็งแรง
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานระนอง ฝากเตือนไปยังประชาชนที่อยู่บริเวณทางผ่านของน้ำจากคลองหาดส้มแป้นให้อยู่ใน ความไม่ประมาท เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดน้ำล้นตลิ่ง และเก็บข้าวของที่จำเป็นขึ้นที่สูง
นายสันต์ จรเจริญ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานระนอง กล่าวจากสถานการณ์ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องของจังหวัดระนอง ทำให้ระดับน้ำภายในอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้น ต.หาดหาดส้มแป้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใช้ในการอุปโภคของ อ.เมืองระนอง มีปริมาณน้ำเต็ม 100% โดยในขณะนี้ทางโครงการชลประทานระนองได้ดำเนินการเร่งระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำ โดยได้ติดตั้งท่อเหล็กจำนวน 8 ท่อ เพื่อทำกาลักน้ำ ซึ่งจะระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นอีก 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากเดิมที่ระบายได้ 350,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้ในขณะนี้สามารถระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้นได้วันละ 550,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อรองรับปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าจะระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เหลือ 60% ของอ่าง จึงจะหยุดระบายน้ำออก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่บริเวณคลองหาดส้มแป้น พร้อมยืนยันว่าอ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้นอยู่ในสภาพที่ดีแข็งแรง
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานระนอง ฝากเตือนไปยังประชาชนที่อยู่บริเวณทางผ่านของน้ำจากคลองหาดส้มแป้นให้อยู่ใน ความไม่ประมาท เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดน้ำล้นตลิ่ง และเก็บข้าวของที่จำเป็นขึ้นที่สูง
โครงการ ๑ ไร่ ๑ แสน เพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร
เกษตรและสหกรณ์จังหวัดพังงา ร่วมกับหอการค้าจังหวัดพังงา สนับสนุนการเกษตร น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำโครงการ ๑ ไร่ ๑ แสน เพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร
นายสุทีป สุธาประดิษฐ์ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดพังงา กล่าวถึง โครงการ ๑ ไร ๑ แสนนั้น ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาประยุกต์ใช้กับพื้นที่ โดยแปลงสาธิตนั้นจะแบ่งพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน และปลอดจากสารเคมี โดยมีพื้นที่หลักคือ การทำนา รอบนาข้าวเป็นพื้นที่น้ำเพื่อเลี้ยงปลา ส่วนคันดินด้านข้างจะเป็นพื้นที่ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นการดำเนินกิจกรรมแบบผสมผสาน เพื่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่องและเป็นการสร้างความสุขให้แก่เกษตรกร
ด้านนายสุทธิโชค ทองชุมนุม ประธานหอการค้าจังหวัดพังงา กล่าวด้วย หอการค้าได้วางยุทธศาสตร์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรขึ้น ภายใต้โครงการ ๑ ไร่ ได้เงิน ๑ แสน ซึ่งที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สำหรับในปีนี้จังหวัดพังงา ได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ๔ อำเภอ รวม ๔ แปลง คือที่บ้านตากแดด อำเภอเมือง, บ้านบ่อแสน อำเภอทับปุด, บ้านลำภี อำเภอท้ายเหมือง และบ้านบางวัน อำเภอคุระบุรี โดยมีเป้าหมายให้มีแปลงสาธิต โครงการ ๑ ไร ๑ แสนให้ครบทุกอำเภอ
นายสุทีป สุธาประดิษฐ์ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดพังงา กล่าวถึง โครงการ ๑ ไร ๑ แสนนั้น ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาประยุกต์ใช้กับพื้นที่ โดยแปลงสาธิตนั้นจะแบ่งพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน และปลอดจากสารเคมี โดยมีพื้นที่หลักคือ การทำนา รอบนาข้าวเป็นพื้นที่น้ำเพื่อเลี้ยงปลา ส่วนคันดินด้านข้างจะเป็นพื้นที่ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นการดำเนินกิจกรรมแบบผสมผสาน เพื่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่องและเป็นการสร้างความสุขให้แก่เกษตรกร
ด้านนายสุทธิโชค ทองชุมนุม ประธานหอการค้าจังหวัดพังงา กล่าวด้วย หอการค้าได้วางยุทธศาสตร์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรขึ้น ภายใต้โครงการ ๑ ไร่ ได้เงิน ๑ แสน ซึ่งที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สำหรับในปีนี้จังหวัดพังงา ได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ๔ อำเภอ รวม ๔ แปลง คือที่บ้านตากแดด อำเภอเมือง, บ้านบ่อแสน อำเภอทับปุด, บ้านลำภี อำเภอท้ายเหมือง และบ้านบางวัน อำเภอคุระบุรี โดยมีเป้าหมายให้มีแปลงสาธิต โครงการ ๑ ไร ๑ แสนให้ครบทุกอำเภอ
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมยินดีกับชาวมุสลิมเนื่องในวัน ตรุษอีฎิ้ลฟิตริ ปีฮิจเราะห์ศักราช 1435
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมยินดีกับชาวมุสลิมเนื่องในวัน ตรุษอีฎิ้ลฟิตริ ปีฮิจเราะห์ศักราช 1435 ขอพระผู้เป็นเจ้าประทานความสุขความดีงามและความสันติสุขแก่ทุกท่าน
ตามที่ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้ประกาศให้ วันอีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1435 ตรงกับวันจันทร์ที่28 กรกฎาคม 2557 พร้อมขอวิงวอนต่อองค์อัลเลาะห์ทรงประทานสุขภาพกายที่แข็งแรง ขอให้ทุกท่านมีชีวิตยืนอยู่บนหลักดุลยภาพและอิสลาม รวมทั้งการ อภัยทานและการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างญาติมิตร เพื่อนบ้าน และพี่น้องร่วมชาติ ด้วยภราดรภาพ และความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติสืบไป ทางด้านนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ความดีที่พี่น้องมุสลิมได้ร่วมกันทำ จะเป็นส่วนของของการสร้างสันติสุข
สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีมัสยิดรวมกว่า 100 แห่ง ทุกแห่งมีชาวมุสลิมร่วมประกอบพิธีด้วยความยินดีในความสำเร็จของการปฏิบัติตามหลักคำสอนขององค์อัลเลาะฮ์
ตามที่ นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้ประกาศให้ วันอีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1435 ตรงกับวันจันทร์ที่28 กรกฎาคม 2557 พร้อมขอวิงวอนต่อองค์อัลเลาะห์ทรงประทานสุขภาพกายที่แข็งแรง ขอให้ทุกท่านมีชีวิตยืนอยู่บนหลักดุลยภาพและอิสลาม รวมทั้งการ อภัยทานและการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างญาติมิตร เพื่อนบ้าน และพี่น้องร่วมชาติ ด้วยภราดรภาพ และความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติสืบไป ทางด้านนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ความดีที่พี่น้องมุสลิมได้ร่วมกันทำ จะเป็นส่วนของของการสร้างสันติสุข
สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช มีมัสยิดรวมกว่า 100 แห่ง ทุกแห่งมีชาวมุสลิมร่วมประกอบพิธีด้วยความยินดีในความสำเร็จของการปฏิบัติตามหลักคำสอนขององค์อัลเลาะฮ์
โครงการ “ค่ายคุณธรรม เพื่อพัฒนาสังคม รุ่นที่ 1/2557”
อำเภอตะกั่วป่า จัดฝึกอบรมค่ายคุณธรรม เพื่อพัฒนาสังคม รุ่นที่ 1/2557 ณ ศาลาการเปรียญวัดนิกรวราราม(วัดย่านยาว) อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
วันนี้ (28 ก.ค. 2557) ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด อำเภอตะกั่วป่า ร่วมกับ ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้มีกิจกรรมเปิดค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด และกลุ่มเสี่ยง ในโครงการ "ค่ายคุณธรรม เพื่อพัฒนาสังคม รุ่นที่ 1/2557” ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2557 ณ ศาลาการเปรียญวัดนิกรวราราม หรือ วัดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
การจัดค่ายพัฒนาคุณธรรม เพื่อพัฒนาสังคมในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อลดจำนวนผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดลง เนื่องจากปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน รวมทั้งความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น การแก้ไขปัญหายาเสพติด จึงจำเป็นต้องกระทำโดยเร่งด่วน ในลักษณะเชิงบูรณาการ ทั้งในด้านการป้องกันผู้เสพรายใหม่ การปราบปรามผู้ค้า และการบำบัดรักษาผู้เสพ ผู้ติด ควบคู่กันไป รวมทั้งต้องสร้างการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ การอบรมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 1 ประจำปี 2557 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจำนวนทั้งสิ้น 62 คน
วันนี้ (28 ก.ค. 2557) ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด อำเภอตะกั่วป่า ร่วมกับ ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้มีกิจกรรมเปิดค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด และกลุ่มเสี่ยง ในโครงการ "ค่ายคุณธรรม เพื่อพัฒนาสังคม รุ่นที่ 1/2557” ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2557 ณ ศาลาการเปรียญวัดนิกรวราราม หรือ วัดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
การจัดค่ายพัฒนาคุณธรรม เพื่อพัฒนาสังคมในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อลดจำนวนผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดลง เนื่องจากปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน รวมทั้งความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น การแก้ไขปัญหายาเสพติด จึงจำเป็นต้องกระทำโดยเร่งด่วน ในลักษณะเชิงบูรณาการ ทั้งในด้านการป้องกันผู้เสพรายใหม่ การปราบปรามผู้ค้า และการบำบัดรักษาผู้เสพ ผู้ติด ควบคู่กันไป รวมทั้งต้องสร้างการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ การอบรมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 1 ประจำปี 2557 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจำนวนทั้งสิ้น 62 คน
การจัดระเบียบคิวรถโดยสารตามคำสั่ง คสช.
นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว นายอำเภอทุ่งสง พร้อม นายขันธิศวาร์ วราชิต หัวหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดนครศรีธรรมราช สาขาทุ่งสง นายทรงชัย วงศ์วัชระดำรง นายกเทศมนตรีเมืองทุ่งสง และคณะ ตรวจดูความเรียบร้อยสถานีขนส่งย่อยตั้งที่อยู่ด้านหลังที่ทำการไปรษณีย์ทุ่งสง ในการเปิดให้บริการวันแรก โดยคิวรถทุกคิวที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองทุ่งสง ทั้งคิวรถตู้ รถเมล์ รถแท็กซี่ รถตุ๊กๆ รถสองแถว จำนวน 20 คิว จำนวนรถกว่า 300 คัน ต้องนำรถมารับผู้โดยสาร ส่วนรถที่รอเข้าคิวให้ไปจอดในพื้นที่ที่เทศบาลเมืองทุ่งสงได้เช่าพื้นที่เตรียมไว้ บริเวณฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีทุ่งสง ได้รับความร่วมมือจากคิวรถต่าง ๆ ย้ายสถานที่จากคิวที่ตั้งเดิม เข้ามาตั้งโต๊ะจำหน่ายตั๋ว และนำรถเข้ามาจอดรอรับการใช้บริการของผู้โดยสาร ที่ทยอยเดินทางมาใช้บริการ เดินหาคิวรถ มีป้ายปิดให้เห็นอย่างชัดเจน ซื้อตั๋วโดยสาร ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง และภายในสถานีขนส่งย่อย มีพื้นที่จอดรถ ที่นั่ง ที่จำหน่ายอาหาร ห้องสุขา มีเจ้าหน้าที่เทศกิจ มาช่วยอำนวยความสะดวกให้บริการประชาชน เทศบาลเมืองทุ่งสง กำลังเร่งปรับปรุงการให้บริการ เตรียมติดตั้งเครื่องขยายเสียงในอาคารสถานีขนส่งย่อย เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ผู้โดยสารได้รับทราบ
อธิบดีกรมป่าไม้ ติดตามการปฏิบัติงานเกี่ยวกับปัญหาการบุกรุกพื้นที่ปาสงวนแห่งชาติ
อธิบดีกรมป่าไม้ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยพยัคไพรพร้อมหารือหน่วยงานในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาการบุกรุกพื้นที่ปาสงวนแห่งชาติ..
เมื่อวันที่ 26 ก.ค.57 ที่บริเวณสวนป่าบางขนุน อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยพยัคไพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้สาขา 12 จ.กระบี่ โดยมีนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นาวาเอกกฤษฎา รัตนสุภา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดภูเก็ต /เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน/ ตัวแทนกองทัพเรือภาคที่ 3/ ป้องกันจังหวัดภูเก็ต/ หัวหน้าอุทยานสิรินาถ เข้าร่วมหารือเกี่ยวกับปัญหาการบุกรุกพื้นที่ปาสงวนแห่งชาติ ในท้องที่จังหวัดภูเก็ต
ในโอกาสนี้ อธิบดีกรมป่าไม้ ได้มอบนโยบายแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาในประเด็นดังนี้ คือ 1.จะพัฒนาหน่วยป้องกันรักษาให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนดูแลคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 2. ฝึกอบรมสมรรถนะของเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน 3. พร้อมประเมินผลงานของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มข้นก่อนการต่อสัญญาพนักงาน และ 4.จัดหาตำแหน่งพนักงานราชการ เพิ่มเติม
นอกจากนี้ อธิบดีกรมป่าไม้ ยังได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ถึงแนวทางการบูรณาการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ใหม่ โดยจะทำงานในรูปของคณะกรรมการในส่วนของการดำเนินคดีนั้น จะเร่งตรวจสอบติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีและที่สำคัญที่สุด กรมป่าไม้จะทำงานอย่างละมุนละม่อม กับผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม ผู้ไร้ที่ดินทำกิน
เมื่อวันที่ 26 ก.ค.57 ที่บริเวณสวนป่าบางขนุน อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยพยัคไพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้สาขา 12 จ.กระบี่ โดยมีนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นาวาเอกกฤษฎา รัตนสุภา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดภูเก็ต /เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน/ ตัวแทนกองทัพเรือภาคที่ 3/ ป้องกันจังหวัดภูเก็ต/ หัวหน้าอุทยานสิรินาถ เข้าร่วมหารือเกี่ยวกับปัญหาการบุกรุกพื้นที่ปาสงวนแห่งชาติ ในท้องที่จังหวัดภูเก็ต
ในโอกาสนี้ อธิบดีกรมป่าไม้ ได้มอบนโยบายแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาในประเด็นดังนี้ คือ 1.จะพัฒนาหน่วยป้องกันรักษาให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนดูแลคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 2. ฝึกอบรมสมรรถนะของเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน 3. พร้อมประเมินผลงานของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มข้นก่อนการต่อสัญญาพนักงาน และ 4.จัดหาตำแหน่งพนักงานราชการ เพิ่มเติม
นอกจากนี้ อธิบดีกรมป่าไม้ ยังได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ถึงแนวทางการบูรณาการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ใหม่ โดยจะทำงานในรูปของคณะกรรมการในส่วนของการดำเนินคดีนั้น จะเร่งตรวจสอบติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีและที่สำคัญที่สุด กรมป่าไม้จะทำงานอย่างละมุนละม่อม กับผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม ผู้ไร้ที่ดินทำกิน
องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตสนองนโยบายคืนความสุขแก่ประชาชนผ่านเสียงสะท้อนความต้องการการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตสนองนโยบายคืนความสุขแก่ประชาชนผ่านเสียงสะท้อนความต้องการการแก้ไขปัญหาในพื้นที่..
นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต พร้อมสนอง นโยบายการคืนความสุขแก่ประชาชนตามแนวทางการบริหารประเทศ ของ คสช. ผ่านเสียงสะท้อนความต้องการในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ด้วยการจัดเวทีประชาคม ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเพื่อรับฟังปัญหา ผ่านโครงการ อบจ.สัญจร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต จัดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งของจังหวัดภูเก็ต ที่ได้สะท้อนปัญหาความต้องการของคนในชุมชน ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต พร้อมสนอง นโยบายการคืนความสุขแก่ประชาชนตามแนวทางการบริหารประเทศ ของ คสช. ผ่านเสียงสะท้อนความต้องการในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ด้วยการจัดเวทีประชาคม ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเพื่อรับฟังปัญหา ผ่านโครงการ อบจ.สัญจร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต จัดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งของจังหวัดภูเก็ต ที่ได้สะท้อนปัญหาความต้องการของคนในชุมชน ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ภูเก็ต เอฟซี เปิดบ้านพ่าย บีบีซียู เอฟซี 1-2ฟุตบอลศึกยามาฮ่า ลีก วัน
ภูเก็ต เอฟซี เปิดบ้านพ่าย บีบีซียู เอฟซี 1-2ฟุตบอลศึกยามาฮ่า ลีก วัน การแข่งขันฟุตบอลศึกยามาฮ่า ลีก วัน ที่สนามสุระกุล เจ้าบ้าน ภูเก็ต เอฟซี ทีมอันดับที่ 12 ของตาราง เปิดบ้านรับการมาเยือนของ บีบีซียู เอฟซี ทีมอันดับ 9 ของตาราง โดย 11 ตัวจริงทีมทั้งสองทีมส่งลงสนามในนัดนี้ ภูเก็ต เอฟซี นำทีมมาโดย วสันต์ นาทะสัน, อาลีฟ เปาะจิ, เอกอาทิตย์ สมจิตร ด้านทีมเยือน บีบีซียู เอฟซี นำทีมมาโดย วีรยุทธ จิตรขุนทด, ศรัณย์ สมิงชัย,
เริ่มครึ่งแรก น.5 เจ้าบ้าน ภูเก็ต เอฟซี ได้ลุ้นประตูก่อนทันทีจากจังหวะที่ อนุศักดิ์ เหล่าแสงไทย ตักบอลให้ วสันต์ นาทะสัน บริเวณกรอบโทษฝั่งขวา ล็อกบอลหลบแนวรับ บีบีซียู ก่อนจ่ายคืนให้ อาลีฟ เปาะจิ ปั่นด้วยขวา บอลออกข้างนิดเดียว น.40 วีรยุทธ จิตรขุนทด เปิดบอลไปหน้าประตู และเป็น โฟฟาน่า เชค โฉบเข้าโหม่งไม่เหลือ บีบีซียู เอฟซี ออกนำไปก่อน 1-0 ช่วงเวลาที่เหลือในครึ่งแรก เจ้าบ้าน ภูเก็ต เอฟซี โหมบุกอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถทวงประตูคืนได้ จบ 45 นาทีแรก ภูเก็ต เอฟซี ตามหลัง บีบีซียู เอฟซี 0-1
เริ่มครึ่งหลังภูเก็ต เอฟซี โหมบุกอย่างหนัก น.51 ได้ลุ้นประตูตีเสมออีกครั้งจากจังหวะที่ กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ ประตู บีบีซียู เอฟซี สกัดบอลพลาดมาเข้าทาง คริสเตียน อเล็ก ดา ซิลวา ซานโตส ซัดจังหวะแรกติดบล็อกมาเข้าทาง เอกอาทิตย์ สมจิตร ซัดด้วยขวาออกข้าง จังหวะต่อเนื่อง น.53 จากลูกฟรีคิกริมเส้นฝั่งขวา อาลีฟ เปาะจิ เปิดบอลไปหน้าประตู วสันต์ นาทะสัน ได้โขกคนเดียวเหน่งๆ ออกข้างอย่างน่าเสียดาย
ท้ายเกม น.82 กองเชียร์ ภูเก็ต เอฟซี ก็ได้เฮกันลั่นสนามเมื่อทีมมาได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ วสันต์ นาทะสัน ได้บอลหลุดไปทางกรอบโทษฝั่งขวา ซัดด้วยขวาเต็มข้อจังหวะแรกโดน กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ ประตู บีบีซียู เอฟซี เซฟไว้ได้ แต่บอลมาเข้าทาง อนุศักดิ์ เหล่าแสงไทย ได้ซ้ำจ่อๆ ไม่เหลือ ภูเก็ต เอฟซี ตีเสมอ 1-1 เกมทำท่าว่าจะจบที่เสมอ แต่แล้ว น.90+4 บีบีซียู เอฟซี มาได้ประตูชัยจากการทำประตูของ โฟฟาน่า เชค บีบีซียู เอฟซี นำอีกครั้ง 1-2ช่วงเวลาที่เหลือของเกมทั้งสองทีมทำอะไรเพิ่มไม่ได้ จบเกม 90 นาที ภูเก็ต เอฟซี เปิดบ้านพ่าย บีบีซียู เอฟซี 1-2
เริ่มครึ่งแรก น.5 เจ้าบ้าน ภูเก็ต เอฟซี ได้ลุ้นประตูก่อนทันทีจากจังหวะที่ อนุศักดิ์ เหล่าแสงไทย ตักบอลให้ วสันต์ นาทะสัน บริเวณกรอบโทษฝั่งขวา ล็อกบอลหลบแนวรับ บีบีซียู ก่อนจ่ายคืนให้ อาลีฟ เปาะจิ ปั่นด้วยขวา บอลออกข้างนิดเดียว น.40 วีรยุทธ จิตรขุนทด เปิดบอลไปหน้าประตู และเป็น โฟฟาน่า เชค โฉบเข้าโหม่งไม่เหลือ บีบีซียู เอฟซี ออกนำไปก่อน 1-0 ช่วงเวลาที่เหลือในครึ่งแรก เจ้าบ้าน ภูเก็ต เอฟซี โหมบุกอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถทวงประตูคืนได้ จบ 45 นาทีแรก ภูเก็ต เอฟซี ตามหลัง บีบีซียู เอฟซี 0-1
เริ่มครึ่งหลังภูเก็ต เอฟซี โหมบุกอย่างหนัก น.51 ได้ลุ้นประตูตีเสมออีกครั้งจากจังหวะที่ กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ ประตู บีบีซียู เอฟซี สกัดบอลพลาดมาเข้าทาง คริสเตียน อเล็ก ดา ซิลวา ซานโตส ซัดจังหวะแรกติดบล็อกมาเข้าทาง เอกอาทิตย์ สมจิตร ซัดด้วยขวาออกข้าง จังหวะต่อเนื่อง น.53 จากลูกฟรีคิกริมเส้นฝั่งขวา อาลีฟ เปาะจิ เปิดบอลไปหน้าประตู วสันต์ นาทะสัน ได้โขกคนเดียวเหน่งๆ ออกข้างอย่างน่าเสียดาย
ท้ายเกม น.82 กองเชียร์ ภูเก็ต เอฟซี ก็ได้เฮกันลั่นสนามเมื่อทีมมาได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ วสันต์ นาทะสัน ได้บอลหลุดไปทางกรอบโทษฝั่งขวา ซัดด้วยขวาเต็มข้อจังหวะแรกโดน กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ ประตู บีบีซียู เอฟซี เซฟไว้ได้ แต่บอลมาเข้าทาง อนุศักดิ์ เหล่าแสงไทย ได้ซ้ำจ่อๆ ไม่เหลือ ภูเก็ต เอฟซี ตีเสมอ 1-1 เกมทำท่าว่าจะจบที่เสมอ แต่แล้ว น.90+4 บีบีซียู เอฟซี มาได้ประตูชัยจากการทำประตูของ โฟฟาน่า เชค บีบีซียู เอฟซี นำอีกครั้ง 1-2ช่วงเวลาที่เหลือของเกมทั้งสองทีมทำอะไรเพิ่มไม่ได้ จบเกม 90 นาที ภูเก็ต เอฟซี เปิดบ้านพ่าย บีบีซียู เอฟซี 1-2
จ.ชุมพร ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
จ.ชุมพรประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
นายปฐม สาธิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 ณ วัดพรุใหญ่ ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 อีกทั้งเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างขวัญและกำลังใจให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นพสกนิกรอยู่ภายใต้พระโพธิสมภาร ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ให้สังคมเกิดความสงบร่มเย็น และสันติสุข ด้วยการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิต ประชาชนมีความสามัคคีปรองดอง ด้วยการทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
นายปฐม สาธิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 ณ วัดพรุใหญ่ ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 อีกทั้งเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างขวัญและกำลังใจให้พุทธศาสนิกชนที่เป็นพสกนิกรอยู่ภายใต้พระโพธิสมภาร ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ให้สังคมเกิดความสงบร่มเย็น และสันติสุข ด้วยการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิต ประชาชนมีความสามัคคีปรองดอง ด้วยการทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกัน โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
อำเภอท่าแซะจัดกิจกรรมปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ประชาชน
อำเภอท่าแซะจัดกิจกรรมปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ประชาชน
ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูปอำเภอท่าแซะ จัดกิจกรรมปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ประชาชนอำเภอท่าแซะ เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูปเดินหน้าประเทศไทย โดย นายอภิรักษ์ ศักดิ์สนิท นายอำเภอท่าแซะ เป็นประธานในพิธี ถวายเครื่องราชสักการะ เปิดกรวยดอกไม้ นำกล่าวคำปฏิญาณ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อาสาสมัคร นักเรียน นักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีกองพันปฏิบัติการจิตวิทยา กองทัพบก จังหวัดลพบุรี นำโดย ร.ท.สมหมาย พลเกษตร หน.ชุด ปจว. ประชาสัมพันธ์ ที่ 401 เดินทางมาแสดงดนตรีคืนความสุขให้คนท่าแซะ ที่บริเวณหน้าที่ทำการอำเภอท่าแซะอีกด้วย
จากสถานการณ์บ้านเมืองในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหามากมาย อาทิ การกระทำผิดกฏหมาย อาชญากรรม การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การระบาดของยาเสพติด อบายมุข และการแตกแยกทางความคิด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันหลักของชาติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากการขาดสติ จิตสำนึก ศีลธรรม และคุณธรรมจริยธรรม
ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างความปรองดอง ความสมานฉันท์ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงได้ให้แนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยการให้ทุกภาคส่วนในประเทศร่วมมือกันดำเนินการ สร้างความปรองดอง สมานฉันท์และทำให้ประชาชนมีความรักความสามัคคีกัน โดยเริ่มจาก ครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ซึ่งจะนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างปลอดภัยและยั่งยืน โดยชาวอำเภอท่าแซะได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้จัดโครงการปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ชาวอำเภอท่าแซะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และปลูกจิตสำนึกตระหนักรักเชิดชูสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันจะนำพาประเทศชาติเกิดความสงบสุขร่วมเย็นต่อไป
ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูปอำเภอท่าแซะ จัดกิจกรรมปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ประชาชนอำเภอท่าแซะ เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูปเดินหน้าประเทศไทย โดย นายอภิรักษ์ ศักดิ์สนิท นายอำเภอท่าแซะ เป็นประธานในพิธี ถวายเครื่องราชสักการะ เปิดกรวยดอกไม้ นำกล่าวคำปฏิญาณ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อาสาสมัคร นักเรียน นักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีกองพันปฏิบัติการจิตวิทยา กองทัพบก จังหวัดลพบุรี นำโดย ร.ท.สมหมาย พลเกษตร หน.ชุด ปจว. ประชาสัมพันธ์ ที่ 401 เดินทางมาแสดงดนตรีคืนความสุขให้คนท่าแซะ ที่บริเวณหน้าที่ทำการอำเภอท่าแซะอีกด้วย
จากสถานการณ์บ้านเมืองในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหามากมาย อาทิ การกระทำผิดกฏหมาย อาชญากรรม การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การระบาดของยาเสพติด อบายมุข และการแตกแยกทางความคิด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันหลักของชาติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากการขาดสติ จิตสำนึก ศีลธรรม และคุณธรรมจริยธรรม
ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างความปรองดอง ความสมานฉันท์ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงได้ให้แนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยการให้ทุกภาคส่วนในประเทศร่วมมือกันดำเนินการ สร้างความปรองดอง สมานฉันท์และทำให้ประชาชนมีความรักความสามัคคีกัน โดยเริ่มจาก ครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ซึ่งจะนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างปลอดภัยและยั่งยืน โดยชาวอำเภอท่าแซะได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้จัดโครงการปรองดองสมานฉันท์คืนความสุขให้ชาวอำเภอท่าแซะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และปลูกจิตสำนึกตระหนักรักเชิดชูสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันจะนำพาประเทศชาติเกิดความสงบสุขร่วมเย็นต่อไป
กฟก.ชุมพรยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและการดำเนินงานของกองทุน
กฟก.ชุมพรยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและการดำเนินงานของกองทุน
สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสาขาจังหวัดชุมพร คณะอนุกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สมาชิกกองทุนฯ ธนาคารต้นไม้ และตัวแทนกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดชุมพรกว่า 50 คน รวมตัวกันยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ณ จังหวัดทหารบกชุมพร โดยมี พ.อ.สุรินทร์ เกตุแก้ว รอง ผบ.จทบ.ช.พ. มารับหนังสือจากตัวแทนเกษตรกรด้วยตนเอง พร้อมยืนยันจะส่งไปยังแม่ทัพภาค 4 เพื่อพิจารณาส่งไปให้ คสช. แก้ไขปัญหาต่อไป
พระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรการ พ.ศ. 2542 ได้มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 เจรนารมย์เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรระยะเวลาได้ผ่านมา 15 ปีแล้ว จากการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ผ่านมา ยังมีข้อติดขัดเกี่ยวกับข้อกฎหมายบางประการ จึงทำให้การช่วยเหลือเกษตรกรทำได้ไม่เต็มที่
ซึ่งที่ผ่านมาอาชีพเกษตรกรต้องเผชิญกับมหันตภัย ต่าง ๆ ไม่ว่าจะภัยจากนโยบายรัฐ ภัยจากธรรมชาติ ภัยจากภาวะการตลาด ภัยจากดอกเบี้ยเงินกู้ และอื่น ๆ เป็นผลให้เกษตรกร ซึ่งเป็นพลังในการผลิตอาหารและแรงงานหล่อเลี้ยงชีวิตตนเองและสังคม ต้องประสบกับภาวะหนี้สิน ไร้ที่ทำกิน มีฐานนะยากจน ขาดความมั่นคงในชีวิต ทรัพย์สินและอาชีพ ประกอบกับการดำเนินงานแก้ปัญหาของหน่วยงาน-กลไกรัฐที่ผ่านมา ขาดประสิทธิภาพและบูรณาการ และเป็นไปตามความต้องการของพ่อค้า ร่วมทั้งผลประโยชน์ทางการเมือง อันเป็นเหตุให้การแก้ไขไม่ประสบความสำเร็จ ล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัญหา
กลุ่มเกษตรกรและอนุกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จังหวัดชุมพร จึงรวมตัวกันมายื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและการการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ผ่านจังหวัดทหารบกชุมพร เพื่อส่งข้อมูลไปยัง คสช. ต่อไป
สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสาขาจังหวัดชุมพร คณะอนุกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สมาชิกกองทุนฯ ธนาคารต้นไม้ และตัวแทนกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดชุมพรกว่า 50 คน รวมตัวกันยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ณ จังหวัดทหารบกชุมพร โดยมี พ.อ.สุรินทร์ เกตุแก้ว รอง ผบ.จทบ.ช.พ. มารับหนังสือจากตัวแทนเกษตรกรด้วยตนเอง พร้อมยืนยันจะส่งไปยังแม่ทัพภาค 4 เพื่อพิจารณาส่งไปให้ คสช. แก้ไขปัญหาต่อไป
พระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรการ พ.ศ. 2542 ได้มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 เจรนารมย์เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรระยะเวลาได้ผ่านมา 15 ปีแล้ว จากการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ผ่านมา ยังมีข้อติดขัดเกี่ยวกับข้อกฎหมายบางประการ จึงทำให้การช่วยเหลือเกษตรกรทำได้ไม่เต็มที่
ซึ่งที่ผ่านมาอาชีพเกษตรกรต้องเผชิญกับมหันตภัย ต่าง ๆ ไม่ว่าจะภัยจากนโยบายรัฐ ภัยจากธรรมชาติ ภัยจากภาวะการตลาด ภัยจากดอกเบี้ยเงินกู้ และอื่น ๆ เป็นผลให้เกษตรกร ซึ่งเป็นพลังในการผลิตอาหารและแรงงานหล่อเลี้ยงชีวิตตนเองและสังคม ต้องประสบกับภาวะหนี้สิน ไร้ที่ทำกิน มีฐานนะยากจน ขาดความมั่นคงในชีวิต ทรัพย์สินและอาชีพ ประกอบกับการดำเนินงานแก้ปัญหาของหน่วยงาน-กลไกรัฐที่ผ่านมา ขาดประสิทธิภาพและบูรณาการ และเป็นไปตามความต้องการของพ่อค้า ร่วมทั้งผลประโยชน์ทางการเมือง อันเป็นเหตุให้การแก้ไขไม่ประสบความสำเร็จ ล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัญหา
กลุ่มเกษตรกรและอนุกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จังหวัดชุมพร จึงรวมตัวกันมายื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและการการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ผ่านจังหวัดทหารบกชุมพร เพื่อส่งข้อมูลไปยัง คสช. ต่อไป
จัดระเบียบรถรับจ้างสาธารณะสนองนโยบาย คสช.
ขนส่งจังหวัดภูเก็ตเข้มมาตรการจัดระเบียบรถรับจ้างสาธารณะสนองนโยบาย คสช.
วันนี้ (24 ก.ค. 57) ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีรยุทธ์ ประเสริฐผล ขนส่งจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานแถลงข่าวการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์และรถยนต์รับจ้างสาธารณะ โดยมีสื่อมวลชนในจังหวัดภูเก็ต ร่วมรับฟังการแถลงข่าว
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีนโยบายให้กรมการขนส่งทางบกจัดระเบียบรถจักรยายนต์สาธารณะทั่วประเทศ โดยจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร นั้น เพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงขอให้เจ้าของรถจักรยานยนต์ที่มีความประสงค์จะจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์สาธารณะดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายโดยหลักฐานประกอบการยื่นประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาคู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนาสัญชาเช่าซื้อรถยนต์ หรือเอกสารอื่นที่แสดงสิทธิครอลครองรถและระบุหมายเลขทะเบียนรถ สำเนาใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะหรือหนังสือรับรองผ่านการอบรมใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป ทั้งนี้หากเป็นเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นให้แนบสำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถด้วย โดยให้เจ้าของรถยื่นคำขอได้ที่ สถานีตำรวจภูธรในพื้นที่ที่เป็นสถานที่รอรับคนโดยสาร (คิว) ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 กรกฏาคม 2557 ในวันและเวลาราชการ
ส่วนในกรณีของการจัดระเบียบรถยนต์รับจ้างสาธารณะนั้น จากข้อเท็จจริง ปรากฏว่ายังมีรถยนต์รับจ้างผิดกฎหมาย (แท็กซี่ป้ายดำ) จำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วมจัดระเบียบได้โดยมีข้อจำกัดบางประกา แต่ยังมีความประสงค์จะประกอบอาชีพให้บริการรถรับจ้างสาธารณะในจังหวัดภูเก็ต ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความิดือดร้อนแก่เจ้าของรถยนต์รับจ้างผิดกฎหมาย (แท็กซี่ป้ายดำ) จึงขอให้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้าง (TAXI METER) ให้ถูกต้องโดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนใข รถที่จะนำมาจดทะเบียนต้องมีอายุรถนับจากวันที่จดทะเบียนครั้งแรกไม่เกิน 6 ปี ใช้ได้จนถึงอายุ 9 ปี อีกทั้งต้องมีความจุในกระบอกสูบรวมกันไม่ต่ำกว่า 1,500 ซีซีขึ้นไป กรณีอยู่ระหว่างสัญญาเช่าซื้อต้องได้รับความยินยอมให้จดทะเบียนเป็นรถยนต์สาธารณะจากสถาบันการเงินแล้ว รวมถึงผ่อนผันสีตัวรถโดยให้คาดแถบสติ๊กเกอร์เหลืองแดงบนสีรถเดิมได้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยต้องติดเครื่องหมายศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (1584) บิรเวณประตูหลังทั้งสองข้าง โดยหลักฐานที่จะประกอบการจดทะเบียนประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (ภูมิลำเนาจังหวัดภูเก็ต) , สำเนาคู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนาสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หรือเอกสารอื่นที่แสดงสิทธิการครอบครองรถและระบุหมายเลขทะเบียนรถ และสำเนาใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะหรือหนังสือรับรองผ่านการอบรมใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
โดยเจ้าของรถต้องนำไปยื่นที่ กลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1-31 สิงหาคม 2557 ในวันและเวลาราชการ
ทั้งนี้ ขนส่งจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวย้ำว่า หากแท๊กซี่ป้ายดำไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฏหมายต่อจากนี้ไปจะมีการดำเนินการจับแล้วดำเนินการฟ้องศาลทันที โดยมีโทษปรับ 20,000 ถึง 100,000 บาท จำคุก 2 ปี
วันนี้ (24 ก.ค. 57) ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายธีรยุทธ์ ประเสริฐผล ขนส่งจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานแถลงข่าวการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์และรถยนต์รับจ้างสาธารณะ โดยมีสื่อมวลชนในจังหวัดภูเก็ต ร่วมรับฟังการแถลงข่าว
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีนโยบายให้กรมการขนส่งทางบกจัดระเบียบรถจักรยายนต์สาธารณะทั่วประเทศ โดยจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร นั้น เพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงขอให้เจ้าของรถจักรยานยนต์ที่มีความประสงค์จะจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์สาธารณะดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายโดยหลักฐานประกอบการยื่นประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาคู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนาสัญชาเช่าซื้อรถยนต์ หรือเอกสารอื่นที่แสดงสิทธิครอลครองรถและระบุหมายเลขทะเบียนรถ สำเนาใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะหรือหนังสือรับรองผ่านการอบรมใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป ทั้งนี้หากเป็นเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นให้แนบสำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถด้วย โดยให้เจ้าของรถยื่นคำขอได้ที่ สถานีตำรวจภูธรในพื้นที่ที่เป็นสถานที่รอรับคนโดยสาร (คิว) ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 กรกฏาคม 2557 ในวันและเวลาราชการ
ส่วนในกรณีของการจัดระเบียบรถยนต์รับจ้างสาธารณะนั้น จากข้อเท็จจริง ปรากฏว่ายังมีรถยนต์รับจ้างผิดกฎหมาย (แท็กซี่ป้ายดำ) จำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วมจัดระเบียบได้โดยมีข้อจำกัดบางประกา แต่ยังมีความประสงค์จะประกอบอาชีพให้บริการรถรับจ้างสาธารณะในจังหวัดภูเก็ต ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความิดือดร้อนแก่เจ้าของรถยนต์รับจ้างผิดกฎหมาย (แท็กซี่ป้ายดำ) จึงขอให้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้าง (TAXI METER) ให้ถูกต้องโดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนใข รถที่จะนำมาจดทะเบียนต้องมีอายุรถนับจากวันที่จดทะเบียนครั้งแรกไม่เกิน 6 ปี ใช้ได้จนถึงอายุ 9 ปี อีกทั้งต้องมีความจุในกระบอกสูบรวมกันไม่ต่ำกว่า 1,500 ซีซีขึ้นไป กรณีอยู่ระหว่างสัญญาเช่าซื้อต้องได้รับความยินยอมให้จดทะเบียนเป็นรถยนต์สาธารณะจากสถาบันการเงินแล้ว รวมถึงผ่อนผันสีตัวรถโดยให้คาดแถบสติ๊กเกอร์เหลืองแดงบนสีรถเดิมได้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยต้องติดเครื่องหมายศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ (1584) บิรเวณประตูหลังทั้งสองข้าง โดยหลักฐานที่จะประกอบการจดทะเบียนประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (ภูมิลำเนาจังหวัดภูเก็ต) , สำเนาคู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนาสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หรือเอกสารอื่นที่แสดงสิทธิการครอบครองรถและระบุหมายเลขทะเบียนรถ และสำเนาใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะหรือหนังสือรับรองผ่านการอบรมใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
โดยเจ้าของรถต้องนำไปยื่นที่ กลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1-31 สิงหาคม 2557 ในวันและเวลาราชการ
ทั้งนี้ ขนส่งจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวย้ำว่า หากแท๊กซี่ป้ายดำไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฏหมายต่อจากนี้ไปจะมีการดำเนินการจับแล้วดำเนินการฟ้องศาลทันที โดยมีโทษปรับ 20,000 ถึง 100,000 บาท จำคุก 2 ปี
ชี้แจงให้ผู้ประกอบการที่ยังฝ่าฝืนไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอีก 2 หาด
ทม.ป่าตองร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ชี้แจงให้ผู้ประกอบการที่ยังฝ่าฝืนไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอีก 2 หาด
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (24 ก.ค.57) นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศบาลเมืองป่าตอง และ น.อ.เพชรัตน เทียมจันทร์ รอง.ผอ.กพร.บก.ทัพเรือภาคที่ 3 นำกำลังเจ้าหน้าที่ ทหารเรือ อาสาสมัครรักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลเมืองป่าตองกว่า 30 นาย ลงพื้นที่หาดพาราไดส์ บีช และหาดไตรตรัง ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เพื่อชี้แจงให้ผู้ประกอบการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายหาดที่ยังคงเหลืออยู่ หลังจากที่มีชาวบ้านร้องเรียนมายังเทศบาลเมืองป่าตอง
นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศบาลเมืองป่าตอง กล่าวถึงในลงพื้นที่ครั้งนี้ ว่า หลังจากที่มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ชายหาดป่าตองแล้ว ซึ่งดูแล้วสวยงามไปตลอดแนวชายหาด หลังจากนั้นได้มีชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงเทศบาลเมืองป่าตอง ว่า ทางเทศบาลทำงานไม่เสมอภาคกัน โดยที่บริเวณชายหาดพาราไดส์ บีช และหาดไตรตรัง มีการสร้างรุกล้ำชายหาดและมีเก้าอี้ เตียงนอน ยังคงเหลืออยู่อีก ดังนั้นวันนี้ทางเทศบาลจึงได้ลงพื้นชี้แจงให้ผู้ประกอบการได้รับทราบแล้วให้ทำการรื้อถอนต่อไป
ด้าน น.อ.เพชรัตน เทียมจันทร์ รอง.ผอ.กพร.บก.ทัพเรือภาคที่ 3 กล่าว ทางทัพเรือภาคที่ 3 ได้บูรณาการทำงานร่วมกับเทศบาลเมืองป่าตอง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบดังกล่าว เนื่องจากยังมีผู้ประกอบการบางส่วนไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายหาด โดยในครั้งนี้มาชี้แจงให้ผู้ประกอบการได้รับทราบและขอความร่วมมือรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำชายหาด หลังจากวันนี้เป็นต้นไปทางทหารเรือทัพภาคที่ 3 จะลงพื้นที่ตรวจสอบทุกวันจนกว่าผู้ประกอบการจะรื้อเสร็จ แต่ถ้าผู้ประกอบการยังดื้อไม่ยอมรื้อก็จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ลงรื้อถอนทันที "พร้อมกันนี้ ได้มีการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ประกอบการที่ประกอบอาชีพรุกล้ำที่สาธารณะไปแล้วว่า ให้ชาวบ้านทุกคนประกอบอาชีพได้ แต่สิ่งที่บุกรุกหาด และที่สาธารณะ ต้องขอร้องอย่าให้มีเพื่อต้องการคืนพื้นที่ชายหาดสาธารณะให้พี่น้องประชาชนโดยทั่วไป และนักท่องเที่ยวได้ใช้ร่วมกัน” น.อ.เพชรัตน กล่าว
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (24 ก.ค.57) นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศบาลเมืองป่าตอง และ น.อ.เพชรัตน เทียมจันทร์ รอง.ผอ.กพร.บก.ทัพเรือภาคที่ 3 นำกำลังเจ้าหน้าที่ ทหารเรือ อาสาสมัครรักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลเมืองป่าตองกว่า 30 นาย ลงพื้นที่หาดพาราไดส์ บีช และหาดไตรตรัง ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เพื่อชี้แจงให้ผู้ประกอบการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายหาดที่ยังคงเหลืออยู่ หลังจากที่มีชาวบ้านร้องเรียนมายังเทศบาลเมืองป่าตอง
นางเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศบาลเมืองป่าตอง กล่าวถึงในลงพื้นที่ครั้งนี้ ว่า หลังจากที่มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ชายหาดป่าตองแล้ว ซึ่งดูแล้วสวยงามไปตลอดแนวชายหาด หลังจากนั้นได้มีชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงเทศบาลเมืองป่าตอง ว่า ทางเทศบาลทำงานไม่เสมอภาคกัน โดยที่บริเวณชายหาดพาราไดส์ บีช และหาดไตรตรัง มีการสร้างรุกล้ำชายหาดและมีเก้าอี้ เตียงนอน ยังคงเหลืออยู่อีก ดังนั้นวันนี้ทางเทศบาลจึงได้ลงพื้นชี้แจงให้ผู้ประกอบการได้รับทราบแล้วให้ทำการรื้อถอนต่อไป
ด้าน น.อ.เพชรัตน เทียมจันทร์ รอง.ผอ.กพร.บก.ทัพเรือภาคที่ 3 กล่าว ทางทัพเรือภาคที่ 3 ได้บูรณาการทำงานร่วมกับเทศบาลเมืองป่าตอง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบดังกล่าว เนื่องจากยังมีผู้ประกอบการบางส่วนไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายหาด โดยในครั้งนี้มาชี้แจงให้ผู้ประกอบการได้รับทราบและขอความร่วมมือรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำชายหาด หลังจากวันนี้เป็นต้นไปทางทหารเรือทัพภาคที่ 3 จะลงพื้นที่ตรวจสอบทุกวันจนกว่าผู้ประกอบการจะรื้อเสร็จ แต่ถ้าผู้ประกอบการยังดื้อไม่ยอมรื้อก็จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ลงรื้อถอนทันที "พร้อมกันนี้ ได้มีการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ประกอบการที่ประกอบอาชีพรุกล้ำที่สาธารณะไปแล้วว่า ให้ชาวบ้านทุกคนประกอบอาชีพได้ แต่สิ่งที่บุกรุกหาด และที่สาธารณะ ต้องขอร้องอย่าให้มีเพื่อต้องการคืนพื้นที่ชายหาดสาธารณะให้พี่น้องประชาชนโดยทั่วไป และนักท่องเที่ยวได้ใช้ร่วมกัน” น.อ.เพชรัตน กล่าว
การแข่งขันกีฬาและนันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 8 ผู้เข้าแข่งขัน 2800 คน 9 ชนิดกีฬา
การแข่งขันกีฬาและ นันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 8 ประจำปี 2557 "ภูเก็จเกมส์” เปิดแล้วอย่าง สวยงามท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่น จาก จังหวัดภูเก็ต เจ้าภาพการแข่งขัน
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ สมาคมกีฬาจังหวัดภูเก็ต จัดการแข่งขัน กีฬาและ นันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 8 ประจำปี 2557 "ภูเก็จเกมส์” ระหว่างวันที่ 23-25 กรกฎาคม 2557 โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ อย่างสวยงามในวันนี้ (23 ก.ค.57) ที่โรงละคร วังไอยรา ภูเก็ตแฟนตาซี อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต มีด๊อกเตอร์พัฒนาชาติ กฤดิบวร อธิบดีกรม พลศึกษา เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิด นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวต้อนรับ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการ แข่งขัน นายชาญวิทย์ ผลชีวิน รองอธิบดีกรม พละศึกษา พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดการแข่งขัน เจ้าหน้าที่ แขกผู้มีเกียรติ ตลอดจนสื่อมวลชน และ ผู้สนับสนุน เข้าร่วมจำนวนมาก
ด๊อกเตอร์พัฒนาชาติ กฤดิบวร กล่าวถึงการแข่งขันกีฬาและนันทนาการ ผู้สูงอายุในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ ผู้สูงอายุทั่วประเทศได้ทำกิจกรรมทางกีฬาและ นันทนาการ ซึ่งเป็นการพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งอารมณ์ ผ่านการเล่นกีฬาและกิจกรรม นันทนาการเป็นประจำ ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีร่างกาย ที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนยาว และสามารถใช้ ชีวิตได้อย่างมีสุข นอกจากนี้ ยังเป็นการพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีใน กลุ่มผู้สูงอายุอีกด้วย
ด้านนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัด ภูเก็ต ในประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขัน กล่าวจังหวัดภูเก็ตในฐานะเจ้าภาพ ขอต้อนรับ ทุกท่านด้วยไมตรีจิต ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการ แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ของทุกภาค ส่วน ในการร่วมกันเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน รวมทั้งนักกีฬาด้วย สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ มีนักกีฬาจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 2800 คน โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 9 ชนิด กีฬา ประกอบด้วย กรีฑา การประกวดลีลาศ วู้ดบอล การประกวดคาราโอเกะ แบดมินตัน เปตอง กอล์ฟ หมากรุกไทย และการประกวด แอโรบิคมวยไทย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ สมาคมกีฬาจังหวัดภูเก็ต จัดการแข่งขัน กีฬาและ นันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 8 ประจำปี 2557 "ภูเก็จเกมส์” ระหว่างวันที่ 23-25 กรกฎาคม 2557 โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ อย่างสวยงามในวันนี้ (23 ก.ค.57) ที่โรงละคร วังไอยรา ภูเก็ตแฟนตาซี อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต มีด๊อกเตอร์พัฒนาชาติ กฤดิบวร อธิบดีกรม พลศึกษา เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิด นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวต้อนรับ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดการ แข่งขัน นายชาญวิทย์ ผลชีวิน รองอธิบดีกรม พละศึกษา พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดการแข่งขัน เจ้าหน้าที่ แขกผู้มีเกียรติ ตลอดจนสื่อมวลชน และ ผู้สนับสนุน เข้าร่วมจำนวนมาก
ด๊อกเตอร์พัฒนาชาติ กฤดิบวร กล่าวถึงการแข่งขันกีฬาและนันทนาการ ผู้สูงอายุในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ ผู้สูงอายุทั่วประเทศได้ทำกิจกรรมทางกีฬาและ นันทนาการ ซึ่งเป็นการพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งอารมณ์ ผ่านการเล่นกีฬาและกิจกรรม นันทนาการเป็นประจำ ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีร่างกาย ที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนยาว และสามารถใช้ ชีวิตได้อย่างมีสุข นอกจากนี้ ยังเป็นการพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีใน กลุ่มผู้สูงอายุอีกด้วย
ด้านนายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัด ภูเก็ต ในประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขัน กล่าวจังหวัดภูเก็ตในฐานะเจ้าภาพ ขอต้อนรับ ทุกท่านด้วยไมตรีจิต ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการ แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ของทุกภาค ส่วน ในการร่วมกันเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน รวมทั้งนักกีฬาด้วย สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ มีนักกีฬาจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 2800 คน โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 9 ชนิด กีฬา ประกอบด้วย กรีฑา การประกวดลีลาศ วู้ดบอล การประกวดคาราโอเกะ แบดมินตัน เปตอง กอล์ฟ หมากรุกไทย และการประกวด แอโรบิคมวยไทย
จังหวัดนราธิวาสจัดพีธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเจริญพระชนมายุ ๖๒ พรรษา
วันนี้ (๒๘ ก. ค. ๕๗ ) เวลา ๐๙.๐๙ น. นายวีรพงศ์ แก้วสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยหัวห้นาส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และพุทธศาสินกชนหมู่เหล่า ร่วมประกอบพีธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเจริญพระชนมายุ ๖๒ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่วัดพรหมนิวาส อำเภอเมืองนราธิวาส เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อความสุขความเจริญและความรุ่งเรืองแห่งสถาบันศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึงเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่พุทธศาสนิกชนอันนำไปสู่ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบร่มเย็นและสันติสุข
สำหรับการเจริญพระพุทธมนต์เนื่องด้วยนพเคราะห์ มีการสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัย รัชกาลที่ 4 ตามความเชื่อศรัทธาแต่เดิมว่า การเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ร่วมกับการสวดพระปริตร เป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดานพเคราะห์ประจำวันทั้ง 9 โบราณประเพณีจัดให้มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์และบูชานพเคราะห์ เพื่อเป็นการป้องกันภัยพิบัติและกำจัดภัยอันตรายทั้งปวงให้หมดสิ้นไป
@import url(http://contentcenter.prd.go.th/CuteSoft_Client/CuteEditor/Load.ashx?type=style&file=SyntaxHighlighter.css);@import url(/admin/cuteeditor.css);
สำหรับการเจริญพระพุทธมนต์เนื่องด้วยนพเคราะห์ มีการสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัย รัชกาลที่ 4 ตามความเชื่อศรัทธาแต่เดิมว่า การเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ร่วมกับการสวดพระปริตร เป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดานพเคราะห์ประจำวันทั้ง 9 โบราณประเพณีจัดให้มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์และบูชานพเคราะห์ เพื่อเป็นการป้องกันภัยพิบัติและกำจัดภัยอันตรายทั้งปวงให้หมดสิ้นไป
@import url(http://contentcenter.prd.go.th/CuteSoft_Client/CuteEditor/Load.ashx?type=style&file=SyntaxHighlighter.css);@import url(/admin/cuteeditor.css);
นำเสนอโดย ผลดา ชูสิงห์
เมื่อ 28 กรกฎาคม 2557 13:28
เมื่อ 28 กรกฎาคม 2557 13:28
ภาคประชาสังคม จัดแถลงข่าว ชี้ “ฝายมีชีวิต” เป็นการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เพียงพอตลอดทั้งปี
คณะทำงานฝายมีชีวิตลุ่มน้ำคลองท่าดี จัดแถลงข่าวการจัดการน้ำลุ่มน้ำคลองท่าดีเชิงนิเวศแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตน้ำชุมชนตลอดแนวลุ่มน้ำ ชุมชนเมืองเทศบาลนครนครศรีธรรมราช และชุมชนรอบๆเมือง อบต.เทศบาลอย่างยั่งยืน
วันนี้ (28 ก.ค.2557) ที่ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ปรึกษาและคณะทำงานฝายมีชีวิตลุ่มน้ำคลองท่าดี นำโดยนายสวัสดิ์ กฤตรัชตนันต์
นายสวัสดิ์ สมัครพงศ์ ,ดร.ดำรง โยธารักษ์ และนายสมเดช คงเกื้อ ร่วมแถลงข่าวถึงการดำเนินงานโครงการสร้างฝายมีชีวิต ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่คณะทำงานฝายมีชีวิตลุ่มน้ำคลองท่าดีได้จัดทำขึ้นเพื่อให้มีน้ำไว้เพื่อการอุปโภค-บริโภคอย่างเพียงพอตลอดทั้งปี
โดย ดร.ดำรง โยธารักษ์ กล่าวว่าขั้นตอนสำคัญของฝายมีชีวิตคือ กระบวนการสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติที่มีในท้องถิ่น อาทิ ไม้ไผ่ ไม้สะตอเบา ไม้สน ไม้หมาก กระสอบ ทราย มูลวัว ขุยมะพร้าว และต้นไม้ที่รากยึดตลิ่ง มาทำเป็นฝายกั้นน้ำ ซึ่งฝายมีชีวิตนี้จะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำหลาก และการเพิ่มน้ำใต้ดิน โดยในช่วงน้ำหลาก ฝายมีชีวิตจะช่วยชะลอ กักเก็บน้ำ ไม่ให้น้ำไปท่วมในพื้นที่เกษตรและชุมชนเมือง ส่วนในหน้าแล้งจะทำหน้าที่ช่วยระบายน้ำออกมาใช้ตลอดช่วงหน้าแล้ง
ดร.ดำรง โยธารักษ์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ฝายมีชีวิตไชยมนตรี 1 ตัว สามารถเก็บกักน้ำใรคลองที่สามารถเห็นได้ 60,000 ลูกบาศก์เมตร รวมทั้งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำซึมไปอยู่ในดินทั้งสองฝั่งคลองข้างละประมาณ 2 กิโลเมตร พร้อมทั้งได้นำข้อมูลผลการวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. ในหัวข้อ “วิจัยวางแผนและการจัดการทรัพยากรน้ำจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยการมีส่วนร่วม” ของ ดร.ปกรณ์ ดิษฐ์กิจและคณะ มายืนยันว่า ลุ่มน้ำคลองท่าดีมีปริมาณน้ำที่ธรรมชาติให้มาปีละประมาณ 700 ล้านคิว และจากการสำรวจปริมาณการใช้น้ำทุกประเภท พบว่าจะมีความต้องการใช้น้ำปริมาณ 115 ล้านคิว หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของปริมาณน้ำที่ธรรมชาติให้มาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ดร.ดำรงฯ ระบุว่าปริมาณน้ำที่เหลือเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชนในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชตลอดทั้งปี หากทางเทศบาลนครมีพื้นที่ในการกักเก็บน้ำ
วันนี้ (28 ก.ค.2557) ที่ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ปรึกษาและคณะทำงานฝายมีชีวิตลุ่มน้ำคลองท่าดี นำโดยนายสวัสดิ์ กฤตรัชตนันต์
นายสวัสดิ์ สมัครพงศ์ ,ดร.ดำรง โยธารักษ์ และนายสมเดช คงเกื้อ ร่วมแถลงข่าวถึงการดำเนินงานโครงการสร้างฝายมีชีวิต ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่คณะทำงานฝายมีชีวิตลุ่มน้ำคลองท่าดีได้จัดทำขึ้นเพื่อให้มีน้ำไว้เพื่อการอุปโภค-บริโภคอย่างเพียงพอตลอดทั้งปี
โดย ดร.ดำรง โยธารักษ์ กล่าวว่าขั้นตอนสำคัญของฝายมีชีวิตคือ กระบวนการสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติที่มีในท้องถิ่น อาทิ ไม้ไผ่ ไม้สะตอเบา ไม้สน ไม้หมาก กระสอบ ทราย มูลวัว ขุยมะพร้าว และต้นไม้ที่รากยึดตลิ่ง มาทำเป็นฝายกั้นน้ำ ซึ่งฝายมีชีวิตนี้จะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำหลาก และการเพิ่มน้ำใต้ดิน โดยในช่วงน้ำหลาก ฝายมีชีวิตจะช่วยชะลอ กักเก็บน้ำ ไม่ให้น้ำไปท่วมในพื้นที่เกษตรและชุมชนเมือง ส่วนในหน้าแล้งจะทำหน้าที่ช่วยระบายน้ำออกมาใช้ตลอดช่วงหน้าแล้ง
ดร.ดำรง โยธารักษ์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ฝายมีชีวิตไชยมนตรี 1 ตัว สามารถเก็บกักน้ำใรคลองที่สามารถเห็นได้ 60,000 ลูกบาศก์เมตร รวมทั้งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำซึมไปอยู่ในดินทั้งสองฝั่งคลองข้างละประมาณ 2 กิโลเมตร พร้อมทั้งได้นำข้อมูลผลการวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. ในหัวข้อ “วิจัยวางแผนและการจัดการทรัพยากรน้ำจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยการมีส่วนร่วม” ของ ดร.ปกรณ์ ดิษฐ์กิจและคณะ มายืนยันว่า ลุ่มน้ำคลองท่าดีมีปริมาณน้ำที่ธรรมชาติให้มาปีละประมาณ 700 ล้านคิว และจากการสำรวจปริมาณการใช้น้ำทุกประเภท พบว่าจะมีความต้องการใช้น้ำปริมาณ 115 ล้านคิว หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของปริมาณน้ำที่ธรรมชาติให้มาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ดร.ดำรงฯ ระบุว่าปริมาณน้ำที่เหลือเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชนในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชตลอดทั้งปี หากทางเทศบาลนครมีพื้นที่ในการกักเก็บน้ำ
อุไรวรรณ/ข่าว/ภาพ
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช
ศูนย์ 3 วัยฯร่วมใจถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ประจำปี 2557”
ศูนย์ 3 วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัว มะม่วงสองต้นจังหวัดนครศรีธรรมราช จัดกิจกรรม “ศูนย์ 3 วัยฯร่วมใจถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ประจำปี 2557”
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้(28 ก.ค.57) ที่ศูนย์สานสายใยรักแห่งครอบครัวมะม่วงสองต้นจังหวัดนครศรีธรรมราช นายราชิต สุดพุ่ม นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีกล่าวอาศิรวาทราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอราสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา ซึ่งศูนย์ 3 วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัวมะม่วงสองต้น จังหวัดนครศรีธรรมราช ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จัดขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอราสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 เพื่อให้ภาคีเครือข่ายโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวและประชาชนทั่วไป ได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีผ่านกิจกรรมและการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ภายใต้แนวคิดสร้างสุขด้วยการให้(Power of Giving) และเป็นการปลุกจิตสำนึกความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
โอกาสนี้ได้มีการ มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนทุน มวก. จำนวน 4 คน มอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลโครงการบ้านน่าอยู่ ใต้ร่มพระบารมี ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประจำปี 2556 นอกจากนี้จัดให้มีกิจกรรมการตรวจสมรรถภาพทางด้านร่างกาย /ประเมินทางด้านสุขภาพจิต ประกวดหนูน้อยฟันสวย/พัฒนาการเด็ก/สุขภาพเด็กดี 6 เดือน- 1 ปี ประกวดหนูน้อยนมแม่ “แม่เลี้ยงลูกด้วยนม 6 เดือนเต็ม” ประกวดผู้สูงอายุสุขภาพดี 60 ปี ขึ้นไป ประกวดวัยทำงาน อายุ 55-60 ปี ประกวดหนูน้อยคืบคลานอายุ 6 เดือน- 1 ปี บริการตัดผมชาย/หญิง โดยร้านเสริมสวยกรทิพย์ การประกวดวาดภาพ/เกมส์ประเภทต่าง ๆ /ทาย การจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด และเวลา 18.30 น. วันนี้(28 ก.ค.57) กำหนดจัดพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล กล่าวถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 พิธีถวายพระพรทางศาสนาอิสลาม หรือพิธีขอ “ดูอา” และการแสดงบนเวทีของวงดนตรีจากค่ายวชิราวุธ จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้(28 ก.ค.57) ที่ศูนย์สานสายใยรักแห่งครอบครัวมะม่วงสองต้นจังหวัดนครศรีธรรมราช นายราชิต สุดพุ่ม นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีกล่าวอาศิรวาทราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอราสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา ซึ่งศูนย์ 3 วัย สานสายใยรักแห่งครอบครัวมะม่วงสองต้น จังหวัดนครศรีธรรมราช ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จัดขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอราสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 เพื่อให้ภาคีเครือข่ายโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวและประชาชนทั่วไป ได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีผ่านกิจกรรมและการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ภายใต้แนวคิดสร้างสุขด้วยการให้(Power of Giving) และเป็นการปลุกจิตสำนึกความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
โอกาสนี้ได้มีการ มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนทุน มวก. จำนวน 4 คน มอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลโครงการบ้านน่าอยู่ ใต้ร่มพระบารมี ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประจำปี 2556 นอกจากนี้จัดให้มีกิจกรรมการตรวจสมรรถภาพทางด้านร่างกาย /ประเมินทางด้านสุขภาพจิต ประกวดหนูน้อยฟันสวย/พัฒนาการเด็ก/สุขภาพเด็กดี 6 เดือน- 1 ปี ประกวดหนูน้อยนมแม่ “แม่เลี้ยงลูกด้วยนม 6 เดือนเต็ม” ประกวดผู้สูงอายุสุขภาพดี 60 ปี ขึ้นไป ประกวดวัยทำงาน อายุ 55-60 ปี ประกวดหนูน้อยคืบคลานอายุ 6 เดือน- 1 ปี บริการตัดผมชาย/หญิง โดยร้านเสริมสวยกรทิพย์ การประกวดวาดภาพ/เกมส์ประเภทต่าง ๆ /ทาย การจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด และเวลา 18.30 น. วันนี้(28 ก.ค.57) กำหนดจัดพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล กล่าวถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557 พิธีถวายพระพรทางศาสนาอิสลาม หรือพิธีขอ “ดูอา” และการแสดงบนเวทีของวงดนตรีจากค่ายวชิราวุธ จังหวัดนครศรีธรรมราช
วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
จ.นครศรีธรรมราชจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ พิธีสืบดวงพระชาตาฯ
จ.นครศรีธรรมราชจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ พิธีสืบดวงพระชาตา และถวายผ้าไตรพระราชทาน เฉลิมพระเกียรติ แด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา 28 กรกฎาคม 2557
วันนี้ 28 ก.ค. 57 เวลา 09.09 น.ที่อาคาร 100 ปี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ว่าที่ ร.ต.ฐิตวัฒน เชาวลิต รอง ผวจ. นครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ พิธีสืบดวงพระชาตาและถวายผ้าไตรและถวายผ้าไตรพระราชทานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 ธรรมยุติ เป็นประธานสงฆ์ มีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประชาชน นักเรียน ร่วมพิธี
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยจัดให้มีพิธีทางพระพุทธศาสนา ถวายราชสักการะ กล่าวถวายพระพรชัยมงคล กล่าวคำถวายผ้าไตรพระราชทาน พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์บทประจำดาวนพเคราะห์ครบทั้ง 9 วัน พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สืบดวงพระชาตา
วันนี้ 28 ก.ค. 57 เวลา 09.09 น.ที่อาคาร 100 ปี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ว่าที่ ร.ต.ฐิตวัฒน เชาวลิต รอง ผวจ. นครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ พิธีสืบดวงพระชาตาและถวายผ้าไตรและถวายผ้าไตรพระราชทานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 ธรรมยุติ เป็นประธานสงฆ์ มีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประชาชน นักเรียน ร่วมพิธี
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยจัดให้มีพิธีทางพระพุทธศาสนา ถวายราชสักการะ กล่าวถวายพระพรชัยมงคล กล่าวคำถวายผ้าไตรพระราชทาน พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์บทประจำดาวนพเคราะห์ครบทั้ง 9 วัน พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สืบดวงพระชาตา
อบต.สวนหลวงจัดโครงการสร้างพลังเยาวชนไทย ร่วมใจพัฒนาชาติประจำปี ๒๕๕๗
เมื่อวันเสาร์ ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสวนหลวง นายบุญยืน ประทุมมาศ นายก อบต.สวนหลวง พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ อบต.สวนหลวง จัดโครงการสร้างพลังเยาวชนไทย ร่วมใจพัฒนาชาติประจำปี ๒๕๕๗ นายบุญยืน ประทุมมาศ กล่าวว่า “องค์การบริหารส่วนตำบลสวนหลวง ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช และแกนนำเด็กเยาวชน /สภาเด็ก เยาวชนตำบลสวนหลวง ซึ่งเราได้ตระหนักความสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชน จึงได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชน เพราะปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนทั้งในเมืองและชนบทของไทย มีแนวโน้มที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทย คือ ปัญหาการสูบบุหรี่ ดื่มสุราและยาเสพติด ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร การติดเชื้อเอดส์และการตั้งครรภ์นอกสมรส ปัญหาการเล่นการพนัน การใช้ความรุนแรง โดยมีกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนตำบลสวนหลวง แกนนำสภาเด็กและเยาวชนตำบล จำนวน ๓๐ คน เข้าร่วมกิจกรรม ” ซึ่งในช่วงเช้าได้รับเกียรติจากคุณกัลยา หนูคง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลเชียรใหญ่ วิทยากร ได้ให้ความรู้ เรื่องปัญหาจิตวิทยาวัยรุ่น และปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และในช่วงบ่าย ได้รับเกียรติจาก พ.ต.ท.ปิยวัฒน์ สุพรรณพงค์ รอง ผกก.ป.สภ.เฉลิมพระเกียรติ ได้ให้ความรู้เรื่องยาเสพติดและการเล่นการพนัน รวมทั้งกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงทัศนะต่อการจัดโครงการดังกล่าว ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากตัวแทนแกนนำเยาวชนในพื้นที่ตำสวนหลวงเป็นอย่างดี
นายพิชัย ชูกลิ่น // ศูนย์ข่าวประชาสัมพันธ์ อบต.สวนหลวง // รายงาน
ประชาสัมพันธ์จังหวัดตรังประชุมชี้แจงการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อวิทยุตามแนวทาง คสช.
ที่ห้องประชุมสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดตรัง นายสาธร นราวิสุทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ประธานการประชุมชี้แจงการเผยแพร่ข่อมูลข่าวสารผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง ทั้งสื่อวิทยุหลักจำนวน 5 แห่ง และวิทยุชุมชนที่ได้อนุญาตให้ออกอากาศแล้วจำนวน 5 แห่ง เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเป็นไปตามระเบียบ ประกาศของ คสช. และ กสทช. หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ โดยได้ออกประกาศและคำสั่งต่าง ๆ ออกมา เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยและคืนความสุขให้ประชาชน ระเบียบ กฎเกณฑ์ ต่าง ๆ ได้มีการปรับปรุง แก้ไข จนการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ควรจะเป็น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน คสช. ได้ออกประกาศหลายฉบับ ที่ครอบคลุมสื่อทุกแขนง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อสังคมออนไลน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์และวิทยุได้มีประกาศให้งดออกอากาศ ส่วนที่ออกอากาศได้ก็ต้องมีข้อตกลงกับ คสช. ก่อนเท่านั้น
โดยสื่อวิทยุชุมชนทั่วประเทศ ได้งดออกอากาศตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา หากจะออกอากาศก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบกระบวนการทางเทคนิคของเครื่องส่ง จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ก่อน และต้องมีบันทึกข้อตกลงกับ คสช. ด้วย ถึงกฎกติกาในการออกอากาศ นับจนถึงปัจจุบันจังหวัดตรังมีวิทยุชุมชนที่ผ่านหลักเกณฑ์ของ กสทช. แล้วจำนวน 7 แห่ง จาก 51 แห่ง นายธีรพงศ์ เพชรรัตน์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดตรัง กล่าวว่า เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากการรับสัญญาณการถ่ายทอดทุกครั้งที่มีประกาศจาก คสช.แล้ว การดำเนินการเผยแพร่ในสิ่งต่าง ๆ ต้องอยู่ภายใต้ประกาศของ คสช. และ กสทช. โดยมี พ.อ.สมทรง คงพึ่ง ผู้แทน กอ.รมน.จว.ตรัง นายพันศักดิ์ ปลอดเอี่ยม ผู้แทนจาก กสทช.เขต 4 สงขลา ร่วมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติที่ทุกสถานีฯ จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งด้านเทคนิคของเครื่องส่งผ่านการตรวจสอบแล้ว ด้านเนื้อหาของรายการประชาชนทุกคนกำลังตรวจสอบการนำเสนอข้อมูลของทุกสถานีฯ หากท่านไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือข้อตกลง หากมีการร้องเรียนหรือตรวจพบว่าสถานีได้ทำผิดเงื่อนไข สถานีนั้น ๆ เหล่านั้นจะถูกปิดอย่างถาวร
โดยสื่อวิทยุชุมชนทั่วประเทศ ได้งดออกอากาศตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา หากจะออกอากาศก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบกระบวนการทางเทคนิคของเครื่องส่ง จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ก่อน และต้องมีบันทึกข้อตกลงกับ คสช. ด้วย ถึงกฎกติกาในการออกอากาศ นับจนถึงปัจจุบันจังหวัดตรังมีวิทยุชุมชนที่ผ่านหลักเกณฑ์ของ กสทช. แล้วจำนวน 7 แห่ง จาก 51 แห่ง นายธีรพงศ์ เพชรรัตน์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดตรัง กล่าวว่า เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากการรับสัญญาณการถ่ายทอดทุกครั้งที่มีประกาศจาก คสช.แล้ว การดำเนินการเผยแพร่ในสิ่งต่าง ๆ ต้องอยู่ภายใต้ประกาศของ คสช. และ กสทช. โดยมี พ.อ.สมทรง คงพึ่ง ผู้แทน กอ.รมน.จว.ตรัง นายพันศักดิ์ ปลอดเอี่ยม ผู้แทนจาก กสทช.เขต 4 สงขลา ร่วมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติที่ทุกสถานีฯ จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งด้านเทคนิคของเครื่องส่งผ่านการตรวจสอบแล้ว ด้านเนื้อหาของรายการประชาชนทุกคนกำลังตรวจสอบการนำเสนอข้อมูลของทุกสถานีฯ หากท่านไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือข้อตกลง หากมีการร้องเรียนหรือตรวจพบว่าสถานีได้ทำผิดเงื่อนไข สถานีนั้น ๆ เหล่านั้นจะถูกปิดอย่างถาวร
อบจ.ตรัง มอบพัสดุรางวัลส่งเสริมประชาธิปไตย
ที่ วัดหัวถนน ตำบลนาพละ อำเภอเมืองตรัง จ.ตรัง นายกิจ หลีกภัย นายกอบจ.ตรัง ผอ.กองกิจการสภาอบจ.ตรัง เป็นประธานและร่วมในพิธีมอบพัสดุรางวัลส่งเสริมประชาธิปไตย ประกอบด้วย เต็นท์โครงเหล็กทรงโค้ง จำนวน 6 หลัง/โต๊ะขาเหล็ก พร้อมผ้าปูโต๊ะ จำนวน 60 ตัว/เก้าอี้พลาสติก จำนวน 110 ตัวและกล้องวงจรปิดพร้อมอุปกรณ์ จำนวน 4 ตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากอบจ.ตรังในการจัดซื้อ เป็นเงินทั้งสิ้น 330,020 บาท เนื่องจากได้รับรางวัลสนับสนุนตามโครงการส่งเสริมประชาธิปไตย ที่มุ่งจูงใจให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งนายกอบจ.ตรัง ในอัตราสูงสุดตามลำดับในระดับจังหวัด เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2555 ปรากฏว่าประชาชน หมู่ที่ 4,5,6 ตำบลนาพละ มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง สูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ของจังหวัด จาก 810 หน่วยเลือกตั้ง โดยการดำเนินการหาพัสดุครั้งนี้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนที่ได้ลงมติ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2555 โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ให้ได้นานที่สุด นายกอ บจ.ตรัง กล่าวว่า อบจ.ตรัง ได้ดำเนินการหาพัสดุ ตามความต้องการของคนส่วนใหญ่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าประชาชนหมู่ที่ 4,5,6 ตำบลนาพละ ได้แสดงพลังสร้างและเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง และเป็นต้นแบบที่ดีให้กับหมู่บ้านอื่นๆในจังหวัด ด้านผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านให้คำมั่นว่าจะดูแลและบำรุงรักษาพัสดุเหล่านี้ไว้ใช้ประโยชน์ให้ได้นานที่สุด
ธ.ก.ส.ตรัง ร่วมประชุมโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบปี 2557 ระดับจังหวัด พร้อมแนะให้เกษตรกรชาวสวนยางปรับวิถีชีวิตในการประกอบอาชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ที่ห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดตรัง นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี2557 ระดับจังหวัด โดยมี นายภาณุมาศ ตั้นซู่ ผู้อำนวยการ สำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดตรัง พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าร่วมประชุม โดยขณะนี้มีเกษตรกรชาวสวนยางมาลงทะเบียนไว้ทั้งหมด 58,000 ราย และได้โอนให้ ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายเงิน 12,630 ราย ซึ่งจังหวัดตรังถือเป็นอันดับที่ 2 ในภาคใต้ รองจากจังหวัดนครศรีธรรมราช และขณะนี้มีเกษตรกรชาวสวยยางที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วมีปัญหา จำนวน 4,000 ราย ซึ่งส่วนมากจะมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด โดยทางจังหวัดได้เน้นย้ำให้ผู้รับผิดชอบทำหนังสือติดต่อประสานไปยังเกษตรกรดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อติดตามผลการดำเนินงานความคืบหน้าตามลำดับ สำหรับในส่วนของปัญหาและอุปสรรคนั้นพบว่า เอกสารและหลักฐานของเกษตรกรส่วนใหญ่มีความซ้ำซ้อน ไม่ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และเกษตรกรบางรายที่ขึ้นทะเบียนมีเอกสารสิทธิ์ที่ดินหลายแปลง รวมทั้งข้อมูลไม่เรียบร้อย จนทำให้เกิดการล่าช้าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทางด้าน นายภาณุมาศ ตั้นซู่ ผู้อำนวยการ สำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดตรัง กล่าวว่า ขณะนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีนโยบายให้ข้าราชการทำงานรับใช้ประชาชน โดยปลอดการเมือง เพื่อสร้างความสุขให้คนทั้งประเทศ ในส่วนของยางพารา พบว่า การแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น โดยรัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้อนุมัติค่าปัจจัยการผลิต ไร่ละ 2,520 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง และขณะนี้ทาง ธ.ก.ส.จังหวัดตรัง ก็ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรตามรายที่ถือครอง ซึ่งมียอดเงินที่ได้โอนเข้าบัญชีของเกษตรกร จำนวน 70,389 แปลง ยอดเงินสะสม 1,267,379,190 บาท ซึ่งเกษตรกรสามารถเบิกได้ 2 ช่องทาง คือ เบิกผ่านตู้ ATM ทุกธนาคาร หรือจะเบิก ณ เคาน์เตอร์บริการของ ธ.ก.ส. ได้ทุกสาขา เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรชาวสวนยาง
นอกจากนี้ทางด้าน ผู้อำนวยการ สำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดตรัง ยังแนะนำฝากข้อคิดให้ชาวสวนยางตระหนักถึงการหารายได้ให้พอเพียงกับรายจ่าย มีเงินคงเหลือเพียงพอกับการครองชีพ อย่ายึดอาชีพเดียว เนื่องจากปัจจุบันชาวสวนยางไทยเป็นชาวสวนยางรายย่อย ซึ่งจะมีเนื้อที่สวนยางเฉลี่ยประมาณ 10 ไร่เศษ/ครัวเรือน ผลผลิตเฉลี่ย 264 กก./ไร่/ปี คำนวณเป็นเงินรายได้มากกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี ดังนั้นจึงจำเป็นที่เกษตรกรต้องทำงานหนักและหารายได้เพิ่ม และควรที่จะนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ทางด้าน ผู้อำนวยการ สำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดตรัง ยังแนะนำฝากข้อคิดให้ชาวสวนยางตระหนักถึงการหารายได้ให้พอเพียงกับรายจ่าย มีเงินคงเหลือเพียงพอกับการครองชีพ อย่ายึดอาชีพเดียว เนื่องจากปัจจุบันชาวสวนยางไทยเป็นชาวสวนยางรายย่อย ซึ่งจะมีเนื้อที่สวนยางเฉลี่ยประมาณ 10 ไร่เศษ/ครัวเรือน ผลผลิตเฉลี่ย 264 กก./ไร่/ปี คำนวณเป็นเงินรายได้มากกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี ดังนั้นจึงจำเป็นที่เกษตรกรต้องทำงานหนักและหารายได้เพิ่ม และควรที่จะนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตสัมมนาประวัติศาสตร์ถลาง นำข้อมูลที่ได้ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์
วันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ที่ห้องประชุมเล็ก ศูนย์ประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ดร. สมหมาย ปรีชาศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการสัมมนาประวัติศาสตร์ถลาง ครั้งที่ 3 เรื่อง “ Phuket Historical Park” และบรรยายพิเศษ เรื่อง “หลักฐานเล่าเรื่องเมืองถลาง” โดยมีนายประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต ผศ.ดร. ประภา กาหยี อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต นายวงศกร นุ่นชูคันธ์ โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ต นายชาญ วงศ์สัตยนนท์ รองประธานมูลนิธิท้าวเพทกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการมูลนิธิท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร นิสิตนักศึกษาจากสถาบันราชภัฎภูเก็ต กลุ่มผู้สนใจประวัติศาสตร์เมืองถลางจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งการสัมมนาจัดระหว่างวันที่ 28-29 กรกฎาคมนี้
นายสำราญ ชัยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากจังหวัดภูเก็ต โดยมูลนิธิท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร สถาบันการศึกษา หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคประชาชน ได้จัดสัมมนาประวัติศาสตร์ถลางมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งสาระของการสัมมนาเป็นการสืบสานและคันหาหลักฐานเรื่องเมืองถลางที่ปรากฏชัด และสามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ของภูเก็ตในเชิงวิชาการได้อย่างถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ โดยในการสัมมนาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งทางมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตเป็นผู้ดำเนินการ โดยการสนับสนุนจากจังหวัดภูเก็ต มูลนิธิท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาครัฐ และเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่างๆ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์จากวิทยากรแต่ละสาขา และการแสดงวิสัยทัศน์เสนอหลักฐานข้อมูลของผู้เข้าร่วมสัมมนา พร้อมสรุปบันทึกการสัมมนา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
นายสำราญ ชัยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากจังหวัดภูเก็ต โดยมูลนิธิท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร สถาบันการศึกษา หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคประชาชน ได้จัดสัมมนาประวัติศาสตร์ถลางมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งสาระของการสัมมนาเป็นการสืบสานและคันหาหลักฐานเรื่องเมืองถลางที่ปรากฏชัด และสามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ของภูเก็ตในเชิงวิชาการได้อย่างถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ โดยในการสัมมนาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งทางมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตเป็นผู้ดำเนินการ โดยการสนับสนุนจากจังหวัดภูเก็ต มูลนิธิท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาครัฐ และเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาต่างๆ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์จากวิทยากรแต่ละสาขา และการแสดงวิสัยทัศน์เสนอหลักฐานข้อมูลของผู้เข้าร่วมสัมมนา พร้อมสรุปบันทึกการสัมมนา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ชาวราไวย์ ตอบรับร่วมงาน สืบสานเล่าขานภูมิปัญญาชาวราไวย์ ครั้งที่ 7 คึกคัก เทศบาล ต.ราไวย์ ร่วมศูนย์ 3 วัย และสภาวัฒนธรรมตำบลราไวย์ จัดขึ้น เพื่อสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนให้ดำรงอยู่สืบไปควบคู่กับความเจริญมั่นคงถาวรของเทคโนโลยีสมัยใหม่
วันที่ 28 ก.ค.57 ที่บริเวณลานวัดสว่างอารมณ์ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 จังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีเปิดงาน สืบสานเล่าขานภูมิปัญญาชาวราไวย์ ครั้งที่ 7 ประจำปีงบประมาณ 2557 มีนายเรวัต อารีรอบ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เขต 2 จังหวัดภูเก็ต นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ พร้อมด้วยฝ่ายบริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ พนักงานเทศบาลตำบลราไวย์ และคณะกรรมการจัดงานฯ ที่เกี่ยวข้อง คณะครู นักเรียน ตลอดจนประชาชน และนักท่องเที่ยวในพื้นที่ เข้าร่วมงานจำนวนมาก
นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ กล่าวถึงการจัดงานดังกล่าวว่า ทางเทศบาลตำบลราไวย์ ร่วมกับศูนย์ 3 วัยฯ และสภาวัฒนธรรมตำบลราไวย์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมสนับสนุนและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะเห็นได้จากการให้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ความสำคัญ รู้จักวิถีชีวิต รู้ถึงคุณค่าวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น อันจะสร้างความภูมิใจและจิตสำนึกในการรักษาวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น โดยมีรูปแบบกิจกรรม คือการถ่ายทอดภูมิปัญญาการทำอาหารพื้นเมือง สาธิตการทำเครื่องจักรสานที่สามารถใช้ในครัวเรือน การแสดงพร้อมการละเล่นพื้นบ้าน รวมถึงการร่วมแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เห็นได้จากการให้ประชาชนในพื้นที่ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีอันเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ทั้งนี้กิจกรรม ภายในงาน ภาคกลางวันมีการจัดแสดงภูมิปัญญาด้านต่างๆ ประกอบด้วย ซุ้มหัตถกรรม อาทิ การแกะสลักผัก ผลไม้ ,จักรสาน,ดอกไม้เกล็ดปลา ฯลฯ ซุ้มภูมิปัญญาด้านอาหาร อาทิ การกวนกาละแม , การทำน้ำพริกคั่วภูเก็ต ขนมตู่โบ้,ขนมขี้มอด ,ขนมอี๋ , โอวต้าว ฯลฯ ซุ้มวิถีชีวิตชาวอุรักละโว้ (ชาวไทยใหม่) โดยมีการสาธิตอาหารพื้นเมืองของชาวไทยใหม่ อาทิตย์ อาทิ หอยหรมทอด ,ยำปลิงทะเล, แกงกะทิหลินส้ม, หอยติบหมี่สั่ว, โวยวายผัดต้นหอม ,มะละกอกะทิ ฯลฯ และการสาธิตการละเล่นพื้นบ้านของชาวไทยใหม่ และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงบนเวทีของศูนย์ 3 วัยฯ การแสดงของชมรมผู้สูงอายุ การแสดงของเด็กนักเรียน ฯลฯ
ขณะที่กิจกรรมภาคกลางคืน มีการร่วมแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ,การเดินแฟชั่นโชว์ครอบครัว 3 วัย และการรำวงย้อนยุค ทั้งนี้การจัดงานดังกล่าว เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนให้ดำรงอยู่ในท้องถิ่นที่ต้องการความเจริญมั่นคงถาวรของเทคโนโลยีสมัยใหม่ นายอรุณ กล่าวในที่สุด
นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ กล่าวถึงการจัดงานดังกล่าวว่า ทางเทศบาลตำบลราไวย์ ร่วมกับศูนย์ 3 วัยฯ และสภาวัฒนธรรมตำบลราไวย์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมสนับสนุนและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะเห็นได้จากการให้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ความสำคัญ รู้จักวิถีชีวิต รู้ถึงคุณค่าวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น อันจะสร้างความภูมิใจและจิตสำนึกในการรักษาวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น โดยมีรูปแบบกิจกรรม คือการถ่ายทอดภูมิปัญญาการทำอาหารพื้นเมือง สาธิตการทำเครื่องจักรสานที่สามารถใช้ในครัวเรือน การแสดงพร้อมการละเล่นพื้นบ้าน รวมถึงการร่วมแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เห็นได้จากการให้ประชาชนในพื้นที่ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีอันเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ทั้งนี้กิจกรรม ภายในงาน ภาคกลางวันมีการจัดแสดงภูมิปัญญาด้านต่างๆ ประกอบด้วย ซุ้มหัตถกรรม อาทิ การแกะสลักผัก ผลไม้ ,จักรสาน,ดอกไม้เกล็ดปลา ฯลฯ ซุ้มภูมิปัญญาด้านอาหาร อาทิ การกวนกาละแม , การทำน้ำพริกคั่วภูเก็ต ขนมตู่โบ้,ขนมขี้มอด ,ขนมอี๋ , โอวต้าว ฯลฯ ซุ้มวิถีชีวิตชาวอุรักละโว้ (ชาวไทยใหม่) โดยมีการสาธิตอาหารพื้นเมืองของชาวไทยใหม่ อาทิตย์ อาทิ หอยหรมทอด ,ยำปลิงทะเล, แกงกะทิหลินส้ม, หอยติบหมี่สั่ว, โวยวายผัดต้นหอม ,มะละกอกะทิ ฯลฯ และการสาธิตการละเล่นพื้นบ้านของชาวไทยใหม่ และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงบนเวทีของศูนย์ 3 วัยฯ การแสดงของชมรมผู้สูงอายุ การแสดงของเด็กนักเรียน ฯลฯ
ขณะที่กิจกรรมภาคกลางคืน มีการร่วมแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ,การเดินแฟชั่นโชว์ครอบครัว 3 วัย และการรำวงย้อนยุค ทั้งนี้การจัดงานดังกล่าว เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนให้ดำรงอยู่ในท้องถิ่นที่ต้องการความเจริญมั่นคงถาวรของเทคโนโลยีสมัยใหม่ นายอรุณ กล่าวในที่สุด
ภูเก็ตจัดกิจกรรมพิธีแห่พระแสงราชศัตราวุธรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 28 ก.ค. 57 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ดร.ประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมการจัดงานภูเก็ตใต้ร่มพระบารมี จักรีวงศ์ กิจกรรมแห่พระแสงราชศัตราวุธ โดยมี พ.ต.ต. พีระยุทธ์ การะเจดีย์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายสาธิต กลิ่นภักดี ท้องถิ่นจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญ มีการเตรียมความพร้อมคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ทั้งฝ่ายพิธีการ ฝ่ายตกแต่งรถยนต์ ฝ่ายขบวนแห่รอบเมืองและกลุ่มมวลชนที่จะเข้าร่วมขบวน เป็นต้น
ดร.ประเจียด กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์โดยกิจกรรมดังกล่าวใช้ชื่อว่า “ภูเก็ตใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์” โดยหนึ่งในสามกิจกรรมที่จะมีคือ พิธีแห่พระแสงราชศัตราวุธ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 เวลา 07.30 น. มีพิธีแห่รอบเมืองในเขตเทศบาลนครภูเก็ตและพิธีบริเวณศาลากลางจังหวัดภูเก็ต
สำหรับพระแสงราชศัตราวุธ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานไว้เมื่อครั้งเสด็จพระราชทานพระแสงราชศัตราวุธประจำเมืองภูเก็ตเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2460 มีหมายเหตุบันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระกระแสดำรัสตอบ ทรงแสดงความพอพระราชหฤทัยที่ได้ทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมืองมณฑลนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงถือว่าอยู่เป็นศรีของพระราชอาณาจักรได้แห่งหนึ่ง เมื่อสิ้นกระแสพระราชดำรัสแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงราชศัตราประจำ มณฑลภูเก็ตแก่นายพลโทพระยาสุรินทราชา เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพระราชอำนาจ ที่ได้ทรงแบ่งให้ถือไว้แทนพระองค์ สำหรับใช้เป็นเครื่องบำรุงความสุขสำราญแห่งประชาชนที่ตั้งใจทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยความซื่อสัตย์สุจริต โดยพระแสงราชศัตราวุธได้ถูกเก็บไว้ที่สำนักงานคลังจังหวัดภูเก็ต
สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญ มีการเตรียมความพร้อมคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ทั้งฝ่ายพิธีการ ฝ่ายตกแต่งรถยนต์ ฝ่ายขบวนแห่รอบเมืองและกลุ่มมวลชนที่จะเข้าร่วมขบวน เป็นต้น
ดร.ประเจียด กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์โดยกิจกรรมดังกล่าวใช้ชื่อว่า “ภูเก็ตใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์” โดยหนึ่งในสามกิจกรรมที่จะมีคือ พิธีแห่พระแสงราชศัตราวุธ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 เวลา 07.30 น. มีพิธีแห่รอบเมืองในเขตเทศบาลนครภูเก็ตและพิธีบริเวณศาลากลางจังหวัดภูเก็ต
สำหรับพระแสงราชศัตราวุธ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานไว้เมื่อครั้งเสด็จพระราชทานพระแสงราชศัตราวุธประจำเมืองภูเก็ตเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2460 มีหมายเหตุบันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระกระแสดำรัสตอบ ทรงแสดงความพอพระราชหฤทัยที่ได้ทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมืองมณฑลนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงถือว่าอยู่เป็นศรีของพระราชอาณาจักรได้แห่งหนึ่ง เมื่อสิ้นกระแสพระราชดำรัสแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงราชศัตราประจำ มณฑลภูเก็ตแก่นายพลโทพระยาสุรินทราชา เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพระราชอำนาจ ที่ได้ทรงแบ่งให้ถือไว้แทนพระองค์ สำหรับใช้เป็นเครื่องบำรุงความสุขสำราญแห่งประชาชนที่ตั้งใจทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยความซื่อสัตย์สุจริต โดยพระแสงราชศัตราวุธได้ถูกเก็บไว้ที่สำนักงานคลังจังหวัดภูเก็ต
จังหวัดระนอง จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์เฉลิมพระเกียรติ ฯสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร
จังหวัดระนอง ร่วมกับ วัดสุวรรณคีรีวิหาร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดระนอง กำหนดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์เฉลิมพระเกียรติ ฯสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา
วันนี้ (28 ก.ค 57) เวลา 09.09 น. ที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง นายศุภวัชร ศักดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา พร้อมด้วยนายเสรี คงรัตน์ วัฒนธรรมจังหวัดระนอง หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมใส่ชุดสีขาวปฏิบัติธรรม และนักเรียนนักศึกษา ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
จากนั้น ประธานในพิธีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร กล่าวถวายพระพรชัยมงคล โหรเจิมแป้งที่เทียนชัยมหามงคล และบัตรพลีนพเคราะห์ จุดเทียนมหามงคลเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ โหรประกาศอัญเชิญเทวดา โดยมีพระระณังคมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดระนอง เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทประจำดาวนพเคราะห์ครบทั้ง 9 วัน โหรประกาศสรุปพระเคราะห์และให้พร ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์
หลังจากนั้นได้ไถ่ชีวิตโค-กระบือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา
วันนี้ (28 ก.ค 57) เวลา 09.09 น. ที่วัดสุวรรณคีรีวิหาร พระอารามหลวง นายศุภวัชร ศักดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา พร้อมด้วยนายเสรี คงรัตน์ วัฒนธรรมจังหวัดระนอง หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมใส่ชุดสีขาวปฏิบัติธรรม และนักเรียนนักศึกษา ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
จากนั้น ประธานในพิธีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสยามมกุฎราชกุมาร กล่าวถวายพระพรชัยมงคล โหรเจิมแป้งที่เทียนชัยมหามงคล และบัตรพลีนพเคราะห์ จุดเทียนมหามงคลเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ โหรประกาศอัญเชิญเทวดา โดยมีพระระณังคมุนีวงศ์ เจ้าคณะจังหวัดระนอง เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทประจำดาวนพเคราะห์ครบทั้ง 9 วัน โหรประกาศสรุปพระเคราะห์และให้พร ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์
หลังจากนั้นได้ไถ่ชีวิตโค-กระบือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 62 พรรษา
วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งศูนย์ดำรงธรรม รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์
จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งศูนย์ดำรงธรรม รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และให้คำปรึกษาด้านต่าง ๆ
นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้มีประกาศ คสช.ฉบับที่ 96/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัด และให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการในจังหวัดสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเสมอภาค มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานและประชาชนได้รับความพึงพอใจ ดังนั้น จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้จัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร ให้คำปรึกษา รับเรื่องปัญหาความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชน ทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการข่าวร่วม ตามมาตรา 32 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งการพัฒนาจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาล การป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า และทรัพยากรธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การคุ้มครองป้องกันหรือช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับความเป็นธรรมและการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม ตามนโยบายของรัฐบาล
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า โดยศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ ณ ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช(หลังเก่า) ชั้น 2 หมายเลขโทรศัพท์ 0 7534 8028
นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้มีประกาศ คสช.ฉบับที่ 96/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัด และให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการในจังหวัดสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเสมอภาค มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานและประชาชนได้รับความพึงพอใจ ดังนั้น จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้จัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร ให้คำปรึกษา รับเรื่องปัญหาความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชน ทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการข่าวร่วม ตามมาตรา 32 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งการพัฒนาจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาล การป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า และทรัพยากรธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การคุ้มครองป้องกันหรือช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับความเป็นธรรมและการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม ตามนโยบายของรัฐบาล
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า โดยศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ ณ ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช(หลังเก่า) ชั้น 2 หมายเลขโทรศัพท์ 0 7534 8028
จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ
จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service) ตามนโยบาย คสช. คาดมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไปจดทะเบียนกว่า 7,000 คน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้(22 ก.ค.57) นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service)จังหวัดนครศรีธรรมราช ณ ศาลาประชาคมอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการทำหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่คนต่างด้าว เริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้(22 ก.ค.57) ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2557 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นในนโยบายของ คสช.ว่าจะส่งผลให้มีการจัดระเบียบการใช้แรงงานต่างด้าวดีเป็นอย่างยิ่ง และจะส่งผลให้ระบบของการจ้างแรงงานต่างด้าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลในการส่งเสริมในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งการเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service) ทำให้ได้รับบริการเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย ทั้งผู้ใช้แรงงานและเจ้าของธุรกิจเอกชน ก็ได้รับความสะดวกมาที่เดียวได้รับบริการทุกเรื่อง สามารถลดขั้นตอน ประหยัดค่าใช้จ่ายและโปร่งใส โดยมีการเก็บค่าบริการเพียงคนละ 1,305 บาท ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราชใช้ศาลาประชาคมอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นสถานที่ดำเนินการเริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้(22 ก.ค.57) ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2557 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ยกเว้นวันที่ 12 สิงหาคม 2557 หยุดให้บริการหนึ่งวัน โดยสามารถให้บริการได้วันละประมาณ 200-300 คน
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายประมาณ 7,332 คน แยกเป็นสัญชาติพม่า 4,571 คน ลาว 1,228 คน และกัมพูชา 1,533 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาชีพประมง อาชีพกิจการต่อเนื่องการเกษตร อาชีพเกษตรและปศุสัตว์ อาชีพก่อสร้าง ตามลำดับ โดยกระจายอยู่ในทุกอำเภอมากที่สุดคือ อำเภอขนอม รองลงมาอำเภอเมือง สิชล ทุ่งสง ทุ่งใหญ่ สำหรับแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายมี จำนวน 13,590 คน
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวด้วยว่า หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแล้ว เจ้าหน้าที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้(22 ก.ค.57) นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service)จังหวัดนครศรีธรรมราช ณ ศาลาประชาคมอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการทำหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่คนต่างด้าว เริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้(22 ก.ค.57) ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2557 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นในนโยบายของ คสช.ว่าจะส่งผลให้มีการจัดระเบียบการใช้แรงงานต่างด้าวดีเป็นอย่างยิ่ง และจะส่งผลให้ระบบของการจ้างแรงงานต่างด้าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลในการส่งเสริมในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งการเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service) ทำให้ได้รับบริการเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย ทั้งผู้ใช้แรงงานและเจ้าของธุรกิจเอกชน ก็ได้รับความสะดวกมาที่เดียวได้รับบริการทุกเรื่อง สามารถลดขั้นตอน ประหยัดค่าใช้จ่ายและโปร่งใส โดยมีการเก็บค่าบริการเพียงคนละ 1,305 บาท ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราชใช้ศาลาประชาคมอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นสถานที่ดำเนินการเริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้(22 ก.ค.57) ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2557 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ยกเว้นวันที่ 12 สิงหาคม 2557 หยุดให้บริการหนึ่งวัน โดยสามารถให้บริการได้วันละประมาณ 200-300 คน
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายประมาณ 7,332 คน แยกเป็นสัญชาติพม่า 4,571 คน ลาว 1,228 คน และกัมพูชา 1,533 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาชีพประมง อาชีพกิจการต่อเนื่องการเกษตร อาชีพเกษตรและปศุสัตว์ อาชีพก่อสร้าง ตามลำดับ โดยกระจายอยู่ในทุกอำเภอมากที่สุดคือ อำเภอขนอม รองลงมาอำเภอเมือง สิชล ทุ่งสง ทุ่งใหญ่ สำหรับแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายมี จำนวน 13,590 คน
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวด้วยว่า หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแล้ว เจ้าหน้าที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช จัดพิธีรำลึกและถวายราชสุดดี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราช จัดพิธีรำลึกและถวายราชสุดดี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
วันนี้ (22 ก.ค.57) เวลา 08.30 น. นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาและถวายราชสุดี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 18 กรกฎาคม ซึ่งโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราชจัดขึ้น เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ทรงพระราชทานเงินเพื่อก่อสร้างโรงเรียนกว่า 184 แห่ง และทรงรับเอาโรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในพระราชาอุปถัมภ์ โดยมีคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียนโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมในพิธี และโอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประดับเครื่องหมายชุดพิธีการให้แก่นักเรียนโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราชด้วย
ทั้งนี้ วันที่ 18 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งในปี พ.ศ. 2557 เป็นปีที่ 19 แห่งการสวรรคต
วันนี้ (22 ก.ค.57) เวลา 08.30 น. นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาและถวายราชสุดี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 18 กรกฎาคม ซึ่งโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราชจัดขึ้น เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ทรงพระราชทานเงินเพื่อก่อสร้างโรงเรียนกว่า 184 แห่ง และทรงรับเอาโรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในพระราชาอุปถัมภ์ โดยมีคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียนโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมในพิธี และโอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประดับเครื่องหมายชุดพิธีการให้แก่นักเรียนโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ นครศรีธรรมราชด้วย
ทั้งนี้ วันที่ 18 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งในปี พ.ศ. 2557 เป็นปีที่ 19 แห่งการสวรรคต
ชาวตรังพร้อมใจกันใส่ชุดขาว ร่วมปฏิบัติธรรม และทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์ 70 รูป “มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนในชาติ”
ที่บริเวณวัดกะพังสุรินทร์ พระอารามหลวง นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง พร้อมด้วย นางณัฐพิศุทธิ์ เหมทานนท์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตรัง นายอมรเศรษฐ์ สุวรรณมาศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง พล.ต.ต.จีรวัฒน์ อุดมสุด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง นายนิพันธ์ ศิริธร ปลัดจังหวัดตรัง และนายอภิชิต วิโนทัย นายกเทศมนตรีนครตรัง นำหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประชาชน ร่วมพิธีปฏิบัติธรรม และทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 70 รูป ตามโครงการมหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนในชาติ ระหว่างวันที่ 22-27 กรกฎาคม 2557 ซึ่งเป็นกิจกรรมคู่ขนานกับพิธีที่กระทรวงมหาดไทยจัดขึ้น ณ มณฑลท้องสนามหลวง ทั้งนี้ เพื่อสนองนโยบายตามแนวทางดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปจังหวัดตรัง (ศปป.จ.ตรัง) กำหนดจัดกิจกรรมพิธีทำบุญตักบาตร "มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนในชาติ” จังหวัดตรัง ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักความสามัคคี และพร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจกันเดินหน้าประเทศไทยไปสู่ความสงบสุข
ประชาชนตำบลน้ำผุดและตำบลนาพละ อำเภอเมืองตรัง สนใจร่วมฟังผลเจาะเลือดกับอบจ.ตรัง
ที่ โรงแรมวัฒนาพาร์ค อำเภอเมืองตรัง นายกิจ หลีกภัย นายกอบจ.ตรัง เป็นประธานและร่วมฟังผลเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตามโครงการเฝ้าระวังสุขภาพประชาชน ในเขตพื้นที่ จ.ตรัง ประจำปี 2557 โดยวันนี้เป็นการฟังผลของประชาชนในเขตอำเภอเมืองตรังประกอบด้วย 2 ตำบลคือตำบลน้ำผุดและตำบลนาพละ โดยมีนายแพทย์ตุลกานต์ มักคุ้น นายแพทย์ชำนาญการกลุ่มงานโสต ศอ นาสิก รพ.ตรังให้ความรู้เพื่อให้ประชาชนนำไปปฏิบัติและขยายผลการเฝ้าระวังถึงคนในครอบครัว และในชุมชนต่อไป โครงการเฝ้าระวังสุขภาพประชาชน ในเขตพื้นที่จ.ตรัง ประจำปี 2557 อบจ.ตรัง ได้ตั้งงบประมาณไว้ 18 ล้านบาท เพื่อทำการเจาะเลือด เก็บตัวอย่างปัสสาวะให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดตรัง จำนวน 30,000 คน ซึ่งจะทำการตรวจร่างกายให้ 14 รายการประกอบด้วยวัดความดัน,ชั่งน้ำหนัก,ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด,ตรวจปัสสาวะสมบูรณ์แบบ,ตรวจหาหมู่เลือด,ตรวจหาไขมันความหนาแน่นต่ำในเลือด,ตรวจการทำงานของไต,ตรวจการทำงานของไต,ตรวจวัดระดับยูริค(โรคเก๊าท์),ตรวจการทำงานของตับ,ตรวจระดับแคลเซียมในเลือด,ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์,ตรวจหามะเร็งจากกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 10 หรือ 3,000 คน (ผู้ชายจะตรวจ 3จุดคือ ตับ ลำไส้ และต่อมลูกหมาก ผู้หญิงจะตรวจ มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้และท่อรังไข่) และปีนี้เพิ่มการตรวจไวรัสตับ ซึ่งหากประชาชนไปตรวจสุขภาพที่รพ.ทั่วไปตามรายการดังกล่าวทั้ง 14 รายการต้องมีค่าใช้จ่ายคนละไม่ต่ำกว่า 3 พันบาท แต่ทางอบจ.ตรังจัดบริการตรวจให้ฟรี
จ.ตรัง เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) บูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ตามนโยบาย คสช. โดยมีผู้มาจดทะเบียนกันคึกคัก
ที่จังหวัดตรัง นายสมศักดิ์ ปะริสุทโธ เหมทานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) โดยเปิดรับจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย 3 สัญชาติ คือ เมียนม่าร์ ลาว กัมพูชา ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัด ซึ่งเปิดรับจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2557 โดยใช้ อาคารศูนย์คลีนิกอาเซียนตรัง (สำนักงานกาชาดตรังหลังเก่า) ถ.รื่นรมย์ อ.เมือง จ.ตรัง เป็นพื้นที่ดำเนินการ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้กล่าวอีกว่า สำหรับการเปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (ONE STOP SERVICE) จังหวัดตรัง ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวที่จะจดทะเบียนจะเป็นแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง ผิดกฎหมาย ไม่มีใบอนุญาตทำงาน 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดตรัง มีสถานที่ทำงานและนายจ้างชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดทำทะเบียนประวัติ ,ใบอนุญาตทำงาน ,ตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ รวม 1,305 บาท ต่อแรงงาน 1 คน โดยจะสามารถดำเนินการจดทะเบียนได้วันละประมาณ 200 ราย สำหรับนายจ้างและผู้ประกอบการในจังหวัดตรัง ที่ต้องการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2557 หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดตรัง ศาลากลางจังหวัดตรัง หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลข 075-214027-8
ผู้อำนวยการศูนย์ติดตามสถานการณ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ตรวจเยี่ยมการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าววันแรกของจังหวัดตรัง
ที่ห้องประชุม กอ.รมน.จว.ตรัง พลตรี สนธิรัตน์ นาครัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ติดตามสถานการณ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และคณะเดินทางมารับฟังบรรยายสรุปจาก พ.อ.อัษฎา แสงฤทธิ์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง (ทหาร) โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง ได้สรุปถึงสถานการณ์ต่างๆที่ได้ปฏิบัติงานตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามยาเสพติด การตัดไม้ทำลายป่า การตรวจยึดอาวุธสงคราม การปราบสิ่งผิดกฎหมาย และอื่นๆ ซึ่งผลงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง เป็นที่น่าพอใจ และอาจนำไปเป็นโมเดลให้กับจังหวัดอื่นๆอีกด้วย หลังจากนั้นได้ลงมาตรวจเยี่ยมลงขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวของจังหวัดตรัง ที่จัดขึ้นเป็นวันแรก พร้อมทั้งกล่าวว่าการปฏิบัติงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนในการอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว เป็นที่น่าชื่นชมและมีการทำงานอย่างเป็นระเบียบกว่าหลายจังหวัด
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตรัง จัดอบรมโครงการ “ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA”
ที่ห้องประชุมศรีตรัง วิทยาลัยเทคนิคตรัง นายภิญโญ ภู่ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมโครงการ "ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA” โครงการ "ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA” เป็นโครงการที่เกิดขึ้น ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ((PEA) กับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้ในการตรวจสอบ ปรับปรุง และแก้ไข ระบบไฟฟ้า ภายในอาคารให้กับนักเรียน นักศึกษา สาขาวิชาช่างไฟฟ้า ระดับ ปวช.และ ปวส. ของสถานศึกษาสังกัด สอศ. และเพื่อส่งเสริมนักเรียน นักศึกษา นำทักษะ และประสบการณ์วิชาชีพไปให้บริการประชาชน ตลอดจนเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนและเยาวชนในการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ประหยัด และลดอุบัติภัยจากการใช้ไฟฟ้า รวมถึงมีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อน ทั่งนี้ในการดำเนินการโครงการจะจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ เกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างถูกต้องปลอดภัย ประหัด และความรู้เบื้องต้นในการแก้ไขอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นเวลา 1 วัน นอกจากนี้ให้นักศึกษาที่เข้ารับการอบรมตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า วันละ 10 ครัวเรือน และหลังจากเสร็จสิ้นโครงการฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะสามารถให้บริการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ จำนวน 6,000 ครัวเรือนโดยมีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการจำนวน 150 คน สำหรับในช่วงบ่ายหลังจากเสร็จสิ้นการอบรม จะปล่อยขบวนรถ นำนักศึกษา ออกให้บริการ ตรวจสอบ และแก้ไข อุปกรณ์ไฟฟ้าในครัวเรือน โรงเรียนต่าง ๆ อาคารต่าง ๆ ให้กับชุมชนต่อไป
จังหวัดชุมพรเตรียมจัดงาน สัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานภาคใต้ตอนบนประจำปี 2557
จังหวัดชุมพรเตรียมจัดงาน สัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงาน ภาคใต้ตอนบน ประจำปี 2557 ในระหว่างวันที่ 1 - 2 สิงหาคม 2557 ณ โรงแรมนานาบุรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เพื่อรณรงค์ให้ภาครัฐ และเอกชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญขอความปลอดภัย และสุขภาพอนามัยของคนทำงาน พร้อมกับทบทวนปัญหาความไม่ปลอดภัย ในการทำงาน ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันในการดำเนินงานด้านความปลอดภัย และสุขภาพอนามัยในการทำงาน เพื่อไปสู่เป้าหมาย ในการลดการเกิดอันตราย และโรคอันเนื่องมาจากการทำงานลงให้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศในภาพรวม
ซึ่งในพิธีเปิดงานได้เชิญ นายพานิช จิตร์แจ้ง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาเป็นประธาน โดยในงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงาน ภาคใต้ตอนบน ประจำปี 2557 ครั้งนี้ ได้กำหนดจัดกิจกรรมด้านความปลอดภัยไว้มากมาย อาทิ การมอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัย การจัดนิทรรศการความปลอดภัย เวทีเสวนาเรื่องการพัฒนาความปลอดภัยในการทำงาน สัมมนาวิชาการเรื่องการทำงานเกี่ยวกับไบโอแก๊สและไบโอดีเซลให้ปลอดภัย การประกวดบทความวิชาการ การสาธิตทีมฉุกเฉิน และอีกมากมาย
นายชาติชาย อุทัยพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ชุมพร เปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้ กำหนดชื่องานว่า วัฒนธรรมความปลอดภัย ปรองดองทั่วไทย เทิดไท้สถาบัน โดยมุ่งเน้นเพื่อเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันสูงสุดของชาติ และเพื่อให้บุคลากรที่เป็นเครือข่ายของกระทรวงแรงงาน เป็นแกนนำสร้างความปรองดองในสถานประกอบกิจการ และชุมชนข้างเคียงภายนอกให้สถานประกอบกิจการต่างๆ ตลอดจน การร่วมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัย เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม และเป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศในการก้าวสู่เวทีการค้าโลกรวมทั้งก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ อีกด้วย
ซึ่งในพิธีเปิดงานได้เชิญ นายพานิช จิตร์แจ้ง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาเป็นประธาน โดยในงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงาน ภาคใต้ตอนบน ประจำปี 2557 ครั้งนี้ ได้กำหนดจัดกิจกรรมด้านความปลอดภัยไว้มากมาย อาทิ การมอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัย การจัดนิทรรศการความปลอดภัย เวทีเสวนาเรื่องการพัฒนาความปลอดภัยในการทำงาน สัมมนาวิชาการเรื่องการทำงานเกี่ยวกับไบโอแก๊สและไบโอดีเซลให้ปลอดภัย การประกวดบทความวิชาการ การสาธิตทีมฉุกเฉิน และอีกมากมาย
นายชาติชาย อุทัยพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ชุมพร เปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้ กำหนดชื่องานว่า วัฒนธรรมความปลอดภัย ปรองดองทั่วไทย เทิดไท้สถาบัน โดยมุ่งเน้นเพื่อเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันสูงสุดของชาติ และเพื่อให้บุคลากรที่เป็นเครือข่ายของกระทรวงแรงงาน เป็นแกนนำสร้างความปรองดองในสถานประกอบกิจการ และชุมชนข้างเคียงภายนอกให้สถานประกอบกิจการต่างๆ ตลอดจน การร่วมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัย เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม และเป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศในการก้าวสู่เวทีการค้าโลกรวมทั้งก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ อีกด้วย
ผลการประกวด Miss Pretty OTOP 2014 จังหวัดชุมพร
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เวลา 21.00 น. นายปฐม สาธิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานในการมอบถ้วยรางวัลและสายสะพาย Miss Pretty OTOP 2014 จังหวัดชุมพร ณ บริเวณลานจอดรถด้านหน้าโรงแรมชุมพรแกรนด์พาเลช อำเภอเมืองจังหวัดชุมพร โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดชุมพร จัดขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ในงานมหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดชุมพร "อลังการงานช็อป โอทอป ทั่วไทย" เพื่อเป็นการสนับสนุนส่งเสริมเยาวชนในจังหวัดชุมพร ได้แสดงความสามารถ ที่โดดเด่น ในการประชาสัมพันธ์การอนุรักษ์ผลิตภัณฑ์ชุนชน OTOP ชุมพร พร้อมกับยังเป็นการประชาสัมพันธ์งานในครั้งนี้
โดยการประกวด Miss Pretty OTOP 2014 จังหวัดชุมพร ในครั้งนี้ มีหน่วยงานราชการ ภาคเอกชนและกลุ่มเครือข่ายองค์กร ชุมชน จัดส่งผู้เข้าประกวดรวม 20 คน ซึ่งผลการประกวดปรากฏว่า รางวัลชนะเลิศได้แก่ น.ส.พจนีย์ รอดสิน ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและสายสะพาย ส่วน น.ส.สุริฉาย จันทรา คว้าไปถึง 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 เงินรางวัล 10,000 บาท, รางวัลขวัญใจสื่อมวลชน เงินรางวัล 8,000 บาท, และรางวัลพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ OTOP ดีเด่น เงินรางวัล 10,000 บาท, ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ น.ส.วงค์ผกา ยมศิริ ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและสายสะพาย รางวัลขวัญใจประชาชน ได้แก่ น.ส.ปิยาภรณ์ อัจกลับ ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและสายสะพาย
ด้านนายอรรณพ สุจริตฉันท์ พัฒนาการจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า การจัดประกวด Miss Pretty OTOP 2014 จังหวัดชุมพร ในครั้งนี้ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยวและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งทางสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ชุมพร จะจัดงานในรูปแบบ มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดชุมพร แบบนี้อีก เพื่อช่วยส่งเสริม ผลักดัน เพิ่มมูลค่า รวมถึงการเปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาการค้าระหว่างผู้ผลิตและผู้จำหน่าย ช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่สินค้า OTOP ของจังหวัดชุมพร อีกด้วย
โดยการประกวด Miss Pretty OTOP 2014 จังหวัดชุมพร ในครั้งนี้ มีหน่วยงานราชการ ภาคเอกชนและกลุ่มเครือข่ายองค์กร ชุมชน จัดส่งผู้เข้าประกวดรวม 20 คน ซึ่งผลการประกวดปรากฏว่า รางวัลชนะเลิศได้แก่ น.ส.พจนีย์ รอดสิน ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและสายสะพาย ส่วน น.ส.สุริฉาย จันทรา คว้าไปถึง 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 เงินรางวัล 10,000 บาท, รางวัลขวัญใจสื่อมวลชน เงินรางวัล 8,000 บาท, และรางวัลพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ OTOP ดีเด่น เงินรางวัล 10,000 บาท, ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ น.ส.วงค์ผกา ยมศิริ ได้รับเงินรางวัล 8,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและสายสะพาย รางวัลขวัญใจประชาชน ได้แก่ น.ส.ปิยาภรณ์ อัจกลับ ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและสายสะพาย
ด้านนายอรรณพ สุจริตฉันท์ พัฒนาการจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า การจัดประกวด Miss Pretty OTOP 2014 จังหวัดชุมพร ในครั้งนี้ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยวและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งทางสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ชุมพร จะจัดงานในรูปแบบ มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP จังหวัดชุมพร แบบนี้อีก เพื่อช่วยส่งเสริม ผลักดัน เพิ่มมูลค่า รวมถึงการเปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาการค้าระหว่างผู้ผลิตและผู้จำหน่าย ช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่สินค้า OTOP ของจังหวัดชุมพร อีกด้วย
จังหวัดกระบี่จัดกิจกรรม โครงการ มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนไทยในชาติทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระภิกษุ สามเณร จำนวน 59 รูป
จังหวัดกระบี่จัดกิจกรรม โครงการ มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนไทยในชาติทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระภิกษุ สามเณร จำนวน 59 รูป
วันนี้ 22 ก.ค.57เมื่อเวลา 06.30 น. ณ.วัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ่อค้า ประชาชน กว่า 100 คน ร่วมทำบุญตักบาตร ในกิจกรรม “มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนในชาติ”
สำหรับกิจกรรมในวันนี้นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ร่วมกับข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ประชาชน ร่วมทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระภิกษุ สามเณร จำนวน 59 รูป ประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียน ถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากนั้นมีพิธีอาราธนาศีล พระปัญญาวุธ ธรรมคณี เจ้าอาวาสวัดแก้วโกรวาราม ประธานฝ่ายสงฆ์ กล่าวสัมโมทนียกถา จากนั้นประธานในพิธีพร้อมแขกผู้มีเกียรติถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่ประธานสงฆ์ และพระสงฆ์ ประธานสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถา และประธานในพิธี พร้อมด้วยส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ร่วมทำบุญใส่บาตรอาหารแห้งพระสงฆ์ จำนวน 59 รูป เป็นอันเสร็จพิธี
วันนี้ 22 ก.ค.57เมื่อเวลา 06.30 น. ณ.วัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ่อค้า ประชาชน กว่า 100 คน ร่วมทำบุญตักบาตร ในกิจกรรม “มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนในชาติ”
สำหรับกิจกรรมในวันนี้นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ร่วมกับข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ประชาชน ร่วมทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระภิกษุ สามเณร จำนวน 59 รูป ประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยดอกไม้ธูปเทียน ถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากนั้นมีพิธีอาราธนาศีล พระปัญญาวุธ ธรรมคณี เจ้าอาวาสวัดแก้วโกรวาราม ประธานฝ่ายสงฆ์ กล่าวสัมโมทนียกถา จากนั้นประธานในพิธีพร้อมแขกผู้มีเกียรติถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่ประธานสงฆ์ และพระสงฆ์ ประธานสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถา และประธานในพิธี พร้อมด้วยส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ร่วมทำบุญใส่บาตรอาหารแห้งพระสงฆ์ จำนวน 59 รูป เป็นอันเสร็จพิธี
จังหวัดกระบี่ เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Sarvice)
จังหวัดกระบี่เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Sarvice)
วันนี้ 22 กรกฎาคม 2557 เวลา 09.30 น. นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Sarvice) ณ ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงาน ถ.ท่าเรือ ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ โดยมีนายสมควร ขันเงิน ปลัดจังหวัดกระบี่ กล่าวรายงาน มีนายจ้างนำแรงงานต่างด้าวมาเข้ารับบริการจดทะเบียนกันอย่างคึกคัก
นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า สำหรับการเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดค่าใช้จ่ายและต้องมีความโปร่งใส ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการผ่อนปรน ของ คสช.จึงขอให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างสัญชาติเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ที่ผิดกฎหมายให้นำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพราะหลังจากพ้นระยะเวลาที่กำหนดแล้วจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
ซึ่งในการดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการต่างๆ เช่น หน่วยงานสังกัดกะทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ สำหรับจังหวัดกระบี่ จากการสำรวจพบว่า แรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสัญชาติพม่า ลาวและกัมพูชา มีจำนวนรวม 4,377 คน เป็นลูกเรือประมง 38 คน ที่เหลือรับจ้างก่อสร้าง และการเกษตร ตั้งเป้าเปิดให้บริการจดทะเบียนได้วันละไม่ต่ำกว่า 200 คน โดยได้กำหนดเป็นรายอำเภอ เริ่มต้นจากอำเภอเมือง เป็นลำดับแรก จนครบ 8 อำเภอ
วันนี้ 22 กรกฎาคม 2557 เวลา 09.30 น. นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Sarvice) ณ ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงาน ถ.ท่าเรือ ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ โดยมีนายสมควร ขันเงิน ปลัดจังหวัดกระบี่ กล่าวรายงาน มีนายจ้างนำแรงงานต่างด้าวมาเข้ารับบริการจดทะเบียนกันอย่างคึกคัก
นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า สำหรับการเปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดค่าใช้จ่ายและต้องมีความโปร่งใส ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการผ่อนปรน ของ คสช.จึงขอให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างสัญชาติเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ที่ผิดกฎหมายให้นำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง เพราะหลังจากพ้นระยะเวลาที่กำหนดแล้วจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
ซึ่งในการดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการต่างๆ เช่น หน่วยงานสังกัดกะทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ สำหรับจังหวัดกระบี่ จากการสำรวจพบว่า แรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสัญชาติพม่า ลาวและกัมพูชา มีจำนวนรวม 4,377 คน เป็นลูกเรือประมง 38 คน ที่เหลือรับจ้างก่อสร้าง และการเกษตร ตั้งเป้าเปิดให้บริการจดทะเบียนได้วันละไม่ต่ำกว่า 200 คน โดยได้กำหนดเป็นรายอำเภอ เริ่มต้นจากอำเภอเมือง เป็นลำดับแรก จนครบ 8 อำเภอ
วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
อบจ.ตรัง จัดโครงการส่งเสริมกิจกรรมในเดือนรอมฎอน เยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ถือบวช พร้อมมอบผลอินทผลัมและเครื่องดื่มสำเร็จรูปเพื่อให้ใช้ในการละศีลอด ที่ อ.หาดสำราญ
ที่มัสยิดบำรุงอิสลามบ้าหวี อำเภอหาดสำราญ จ.ตรัง นายทวี สัตยไชย ที่ปรึกษานายกอบจ.ตรัง ผอ.กองการศึกษาและวัฒนธรรม อบจ.ตรัง ออกเยี่ยมเยียนผู้นำศาสนาและให้กำลังใจแก่พี่น้องไทยมุสลิมในเดือนรอมฎอนพร้อมทั้งมอบอินทผลัม เครื่องดื่มสำเร็จรูป และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งมีเครื่องหมายฮาลาล เพื่อการละศีลอด เนื่องในเดือนรอมฎอน ให้กับตัวแทนของแต่ละมัสยิดจำนวน 17 แห่ง โดยอบจ.ตรังเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมทางศาสนา เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมของศาสนาและช่วยอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน ให้พี่น้องมีกำลังใจในการประกอบศาสนกิจในเดือนรอมฎอน สร้างความสัมพันธ์ และความเข้าใจอันดีระหว่างอบจ.ตรังและพี่น้องมุสลิม สำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันที่ 1 เดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1435 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557 หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ให้วันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1435 ถือเป็นเริ่มต้นถือศีลอดของพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ ซึ่งปี 2557 ฮิจเราะห์ศักราช 1435 (ปฏิทินอิสลาม) จะตรงกับปฏิทินของไทยในวันที่ 29 มิ.ย.-28 ก.ค. 2557 เป็นเดือนที่มุสลิมถือศีลอดทั้งเดือน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เดือนบวช เป็นเดือนที่ชาวมุสลิมจะต้องปฏิบัติตามศาสนบัญญัติ ด้วยการงดอาหารทุกชนิด รวมถึงน้ำดื่มในช่วงเวลา พระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกดิน รวมทั้ง ให้อดทนต่อสิ่งรอบตัว หยุดทำความชั่ว และออกห่างจากสิ่งหรือคนที่จะชักนำเราไปสู่การฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า
ทะเลจังหวัดตรังมีคลื่นสูงประมาณ 3 เมตร พัดเข้าชายฝั่ง ที่บริเวณชายหาดปากเมง อำเภอสิเกา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ทำให้ชาวบ้านและร้านค้าได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
จากสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดผ่านส่งผลให้ในหลายพื้นที่ของภาคใต้ได้รับผลกระทบจากมรสุมดังกล่าว ในส่วนของจังหวัดตรัง ได้รับผลกระทบจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่าน ทำให้ท้องทะเลจังหวัดตรังมีคลื่นลมแรง พัดเข้าชายฝั่งที่บริเวณชายหาดปากเมง อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดตรัง ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงมรสุมพัดผ่าน จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่าในปีนี้น้ำทะเลได้พัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรงกว่าทุกปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จะมีน้ำทะเลพัดเข้าหาฝั่งเดือนละ 2-3 วัน ใช้เวลาท่วมถนนและบ้านเรือนอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง น้ำทะเลก็จะลดลง โดยคลื่นในทะเลในปีนี้มีคลื่นสูงประมาณ 3 เมตร เมื่อน้ำทะเลลดลงจนแห้งสนิท ชาวบ้านก็ออกมาเก็บกวาดกิ่งไม้ เศษขยะและทราย ที่มากับน้ำทะเล โดยถนนจะเต็มไปด้วยเศษไม้ ทำให้การสัญจรค่อนข้างลำบาก ทั้งนี้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณดังกล่าวจะทราบกันเองว่าช่วงไหนน้ำทะเลขึ้นสูงก็ย้ายสิ่งของและรถยนต์ไปไว้ในที่ปลอดภัย ซึ่งการน้ำทะเลท่วมสูงบริเวณถนนนั้นจะเป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ตรัง จัดโครงการสัมมนา “รวมพลคนทำบัญชีสามัคคีปรองดอง” ตามนโยบาย คสช.
ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ร.ท.บุญส่ง ทองมาก นายทหารการข่าว กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา "รวมพลคนทำบัญชีสามัคคีปรองดอง” ทั้งนี้ นางนงลักษณ์ ดำรงศิริ หัวหน้าสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ตรัง กล่าวว่า การจัดโครงการสัมมนาดังกล่าวได้จัดขึ้นตามนโยบายของคณะรักษาความสงบ แห่งชาติ ที่มีนโยบายให้หน่วยงานราชการเป็นศูนย์กลางในการเสริมสร้างความรู้ความเข้า ใจในเรื่องหลักระบอบประชาธิปไตย เสริมสร้างหลักจริยธรรม คุณธรรมตามรอยพระยุคลบาทและหลัดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์ร่วมกัน ในเรื่องการจัดทำบัญชีรายบุคล การใช้ข้อมูลทางบัญชีในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดหนี้ มีเงินออม และใช้บัญชีเป็นข้อมูลในการตัดสินใจวางแผนประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการด้านบัญชี ให้บริการปรึกษาแนะนำการจัดทำบัญชีรับจ่ายในครัวเรือนและต้นทุนการประกอบ อาชีพแก่เกษตรกร นักเรียน และประชาชนทั่วไป ณ ลานพระบรมราชนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 อำเภอเมืองตรัง ทางด้านเจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ชี้แจงทำความเข้าใจให้ทราบถึงหลักการและเหตุผลที่ต้องมีการยึดอำนาจจาก รัฐบาล เนื่องจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติเล็งเห็นแล้วว่าสถานการณ์เริ่มจะมีความ รุนแรง เนื่องจากการชุมนุมที่ยึดเยื้อมานานกว่า 6 เดือน จนอาจนำประสู่การปะทะกันระหว่างประชาชนที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย หากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันก็จะทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและชีวิต เพื่อเป็นการระงับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต้องมีการยึดอำนาจจากรัฐบาล เพื่อให้เกิดความสงบสุขและทำการละลายพฤติกรรมของแกนนำและไม่ให้มีการแบ่งสีกันอีกต่อไป ทางหน่วยทหารจึงขอให้ประชาชนได้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการนำพาประเทศชาติให้เดินหน้าต่อไปได้
วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สถาบันธัญญารักษ์ เดินหน้าการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดระดับภาค เพื่อลดอันตรายจากการใช้ยา 2014 และยุติปัญหาเอดส์
ที่ โรงแรมบีพี สมิหลา บีช อ.เมืองสงขลา เวลา 09.00 น. วันนี้ (9 ก.ค. 57) นพ.อังกูร ภัทรกร รองผู้อำนวยการสถาบันธัญญารักษ์ ประธานพิธีเปิด ประชุมวิชาการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดระดับภาค (ภาคใต้) การลดอันตรายจากการใช้ยา 2014 : ยุติปัญหาเอดส์ (Harm Reduction 2014 : Ending AIDS)
นพ.อังกูร ภัทรกร รองผู้อำนวยการสถาบันธัญญารักษ์ เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีที่สร้างโอกาสให้ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง กับการทำงานด้านยาเสพติด ในพื้นที่ภาคใต้ มี 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่ทำดำเนินงานโครงการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดได้มีเวที แลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิดประสบการณ์ การดำเนินงานด้านการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ จากการทำงานด้านยาเสพติดร่วมกันโดยเฉพาะเรื่องการที่จะทำให้ผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีด เข้าถึงบริการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดแบบรอบด้าน เพื่อให้ผู้ใช้ยากลุ่มนี้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ทันเวลาและคงอยู่ในระบบการดูแลสุขภาพ ที่จะนำมาซึ่งการยุติปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีภายในปี 2020
สำหรับกิจกรรมในการประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย การบรรยายพิเศษ การอภิปราย การนำเสนอผลงาน และการสานเสวนา ในการประชุมทั้ง 2 วันนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุด หากทุกท่านที่เข้าร่วมประชุม สามารถนำนโยบายการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด สู่การปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ครอบคลุม และทันเวลา โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การช่วยเหลือผู้ใช้ยาเสพติด ให้สามารถลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และเข้าสู่กระบวนการ ลด ละ เลิกยาเสพติด โดยใช้ความรัก ความเข้าใจและความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ โดยยึดหลักผู้เสพติดเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลที่เหมาะสม พัฒนาบริการให้ผู้ใช้ยาเสพติดเข้าถึงบริการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดอย่างสะดวกและเร็วที่สุดเป็นการช่วยให้ผู้ที่ใช้ยาเสพติดสามารถปรับตัวเองให้ลดการใช้ยาลงหรือใช้สารทดแทนภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ จนสามารถเลิกใช้ยาเสพติดในที่สุด มีคุณภาพชีวิตที่ดี สมคุณค่าความเป็นมนุษย์ สามารถอยู่ร่วมกับครอบครัว และสังคมได้ปกติสุข
นพ.อังกูร ภัทรกร รองผู้อำนวยการสถาบันธัญญารักษ์ เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีที่สร้างโอกาสให้ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง กับการทำงานด้านยาเสพติด ในพื้นที่ภาคใต้ มี 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่ทำดำเนินงานโครงการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดได้มีเวที แลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิดประสบการณ์ การดำเนินงานด้านการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ จากการทำงานด้านยาเสพติดร่วมกันโดยเฉพาะเรื่องการที่จะทำให้ผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีด เข้าถึงบริการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดแบบรอบด้าน เพื่อให้ผู้ใช้ยากลุ่มนี้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ทันเวลาและคงอยู่ในระบบการดูแลสุขภาพ ที่จะนำมาซึ่งการยุติปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีภายในปี 2020
สำหรับกิจกรรมในการประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย การบรรยายพิเศษ การอภิปราย การนำเสนอผลงาน และการสานเสวนา ในการประชุมทั้ง 2 วันนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุด หากทุกท่านที่เข้าร่วมประชุม สามารถนำนโยบายการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด สู่การปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ครอบคลุม และทันเวลา โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การช่วยเหลือผู้ใช้ยาเสพติด ให้สามารถลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และเข้าสู่กระบวนการ ลด ละ เลิกยาเสพติด โดยใช้ความรัก ความเข้าใจและความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ โดยยึดหลักผู้เสพติดเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลที่เหมาะสม พัฒนาบริการให้ผู้ใช้ยาเสพติดเข้าถึงบริการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดอย่างสะดวกและเร็วที่สุดเป็นการช่วยให้ผู้ที่ใช้ยาเสพติดสามารถปรับตัวเองให้ลดการใช้ยาลงหรือใช้สารทดแทนภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ จนสามารถเลิกใช้ยาเสพติดในที่สุด มีคุณภาพชีวิตที่ดี สมคุณค่าความเป็นมนุษย์ สามารถอยู่ร่วมกับครอบครัว และสังคมได้ปกติสุข
ยุสรา วาจิ//ข่าว
จิรพัฒน์ วงศ์กระจ่าง//ภาพ
จิรพัฒน์ วงศ์กระจ่าง//ภาพ
จังหวัดสงขลา ขอเชิญประชาชนตรวจดูแผนที่ แผนผัง และข้อกำหนด ผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา และร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองจังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 22 - 24 ก.ค. 57 นี้
นายพิชัย อุทัยเชฏฐ์ โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง และสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา ขอเชิญชวนประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของ หรือผู้ครอบครองที่ดิน หรืออาคารที่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่ที่จะวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา ไปตรวจดูแผนที่แสดงเขตท้องที่ที่จะวางและจัดทำผังเมืองรวม แผนผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ข้อกำหนด การใช้ประโยชน์ที่ดิน และรายการประกอบแผนผัง ได้ที่ ศาลากลางจังหวัดสงขลา ที่ทำการองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง สำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา สำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลาทุก แห่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งที่อยู่ในเขตท้องที่ที่จะวางและจำทำผัง เมืองรวมจังหวัดสงขลา สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหัดสงขลา กรมโยธาธิการและผังเมือง สาธารณสถานภายในเขตท้องที่ที่จะวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา และเผยแพร่ทางระบบอินเทอร์เน็ตของกรมโยธาธิการและผังเมือง (www.dpt.go.th) ตั้งแต่วันนี้ – 18 กรกฎาคม 2557 เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กรมโยธาธิการและผังเมือง โดย สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา จะจัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา ดังนี้
1.วันอังคารที่ 22 ก.ค.57 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมศรีเกียรติพัฒน์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา
2. วันพุธที่ 23 ก.ค. 57 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมวิทยาลัยการอาชีพนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา
3. วันพฤหัสบดีที่ 24 ก.ค.57 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมรัตนโกสินทร์ อ.สทิงพระ จ.สงขลา
จังหวัดสงขลา ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจไปตรวจดูแผนที่แสดงเขตท้องที่ที่จะวางและจัดทำผังเมืองรวม แผนผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินรายการประกอบแผนผัง และเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอความคิดเห็น ความต้องการและข้อมูลต่าง ๆ ในการวางผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา ศาลากลางจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา โทรศัพท์ 074-322057
นอกจากนี้ กรมโยธาธิการและผังเมือง โดย สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา จะจัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา ดังนี้
1.วันอังคารที่ 22 ก.ค.57 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมศรีเกียรติพัฒน์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา
2. วันพุธที่ 23 ก.ค. 57 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมวิทยาลัยการอาชีพนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา
3. วันพฤหัสบดีที่ 24 ก.ค.57 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมรัตนโกสินทร์ อ.สทิงพระ จ.สงขลา
จังหวัดสงขลา ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจไปตรวจดูแผนที่แสดงเขตท้องที่ที่จะวางและจัดทำผังเมืองรวม แผนผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินรายการประกอบแผนผัง และเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอความคิดเห็น ความต้องการและข้อมูลต่าง ๆ ในการวางผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลา ศาลากลางจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา โทรศัพท์ 074-322057
จันจิรา บัวน้อย//ข่าว
จังหวัดสงขลา จัดเวทีเสวนาสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ระดับจังหวัด เพื่อนำข้อเสนอจากทุกภาคส่วนเสนอต่อ คสช.
วันนี้ (9 ก.ค.57) ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายธำรงค์ เจริญกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานการประชุมเสวนาสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป จังหวัดสงขลา โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนระดับจังหวัด ระดับอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนภาคประชาชน ผู้สมัคร สว. และคณะทำงานศูนย์ปรองดองเพื่อการปฏิรูปจังหวัดสงขลา เข้าร่วมเสวนา และรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการปฏิรูป 11 ประเด็น โดย กอ.รมน.ส่วนหน้าจังหวัดสงขลาได้ชี้แจงและทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการ จัดเวทีเสวนา ระดับจังหวัด ในครั้งนี้ หลังจากนั้นก็ได้ให้ผู้เข้าร่วมประชุม สอบถามและแสดงความคิดเห็น
จังหวัด สงขลา โดย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้จัดประชุมเพื่อให้ทุกภาคส่วนหาแนวทางสรุปประเด็นการเสวนาตามแนวทางของ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปจังหวัดสงขลา 11 ประเด็น ประกอบด้วย แนวทางการปฏิรูปการเมือง แนวทางการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้บริหารประเทศ แนวทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แนวทางการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การกระจายอำนาจหรือความซ้ำซ้อนในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ แนวทางการปฏิรูปทุจริตคอรัปชั่น แนวทางปฏิรูปการศึกษา แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ แนวทางการปฏิรูปด้านข้อมูลข่าวสาร แนวทางการปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม แนวทางการปฏิรูปทรัพยากรดิน น้ำ และป่าไม้ และแนวทางการปฏิรูปอื่น ๆ เช่น ระบบพลังงาน เพื่อนำข้อสรุปผลการแสดงความคิดเห็นของแต่ละประเด็น รวมทั้งรวบรวมปัญหา ความต้องการ ตลอดจนแนวทางที่ประชาชนต้องการที่จะปฏิรูป เพื่อนำเสนอ และรวบรวม ทั้ง 11 ประเด็น เสนอต่อ คสช. ก่อนวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ เพื่อร่วมหาแนวทางร่วมกันต่อไป
จังหวัด สงขลา โดย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้จัดประชุมเพื่อให้ทุกภาคส่วนหาแนวทางสรุปประเด็นการเสวนาตามแนวทางของ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปจังหวัดสงขลา 11 ประเด็น ประกอบด้วย แนวทางการปฏิรูปการเมือง แนวทางการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้บริหารประเทศ แนวทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แนวทางการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การกระจายอำนาจหรือความซ้ำซ้อนในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ แนวทางการปฏิรูปทุจริตคอรัปชั่น แนวทางปฏิรูปการศึกษา แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ แนวทางการปฏิรูปด้านข้อมูลข่าวสาร แนวทางการปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม แนวทางการปฏิรูปทรัพยากรดิน น้ำ และป่าไม้ และแนวทางการปฏิรูปอื่น ๆ เช่น ระบบพลังงาน เพื่อนำข้อสรุปผลการแสดงความคิดเห็นของแต่ละประเด็น รวมทั้งรวบรวมปัญหา ความต้องการ ตลอดจนแนวทางที่ประชาชนต้องการที่จะปฏิรูป เพื่อนำเสนอ และรวบรวม ทั้ง 11 ประเด็น เสนอต่อ คสช. ก่อนวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ เพื่อร่วมหาแนวทางร่วมกันต่อไป
สตูลประสานทุกภาคส่วนจัดเสวนาระดมความคิดเห็น หวังสมานฉันท์ปรองดองและปฏิรูปจังหวัดในทิศทางเดียวกัน
จังหวัดสตูล โดยศูนย์ปรองดองเพื่อการปฏิรูปจังหวัดสตูล สนองนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ความสามัคคีของคนในประเทศ โดยจัดเวทีเสวนาระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในจังหวัด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ความต้องการในการปฏิรูปให้ครบถ้วน โดยแบ่งกลุ่มเสวนา เป็น ๕ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มภาคประชาชน กลุ่มภาคราชการและรัฐวิสาหกิจ กลุ่มภาคแกนนำทางการเมือง กลุ่มภาคธุรกิจเอกชน และกลุ่มทางสังคม มีประเด็นข้อมูลเพื่อ การปฏิรูปใน ครั้งนี้ จำนวน ๑๑ ประเด็น มีผู้ให้ความสนใจจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมเสวนากว่า ๒๐๐ คน โดยมีนายเหนือชาย จิระภิรักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธี
โอกาสนี้ นายเหนือชาย จิระอภิรักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า จังหวัดสตูลมีความมุ่งมั่น ที่จะปฎิรูปในทุกภาคส่วน เพื่อหาข้อยุติ และเสริมสร้างความปรองดอง เพื่อประชาชนในจังหวัดได้หัน มาสมานฉันท์ อยู่กันอย่างสงบสุขอีกครั้ง สำหรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ที่ได้รับในวันนี้ ทางจังหวัดจะนำไปวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด และรวบรวมรายงานกระทรวงมหาดไทย และศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป กอ.รมน.ต่อไป
โอกาสนี้ นายเหนือชาย จิระอภิรักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า จังหวัดสตูลมีความมุ่งมั่น ที่จะปฎิรูปในทุกภาคส่วน เพื่อหาข้อยุติ และเสริมสร้างความปรองดอง เพื่อประชาชนในจังหวัดได้หัน มาสมานฉันท์ อยู่กันอย่างสงบสุขอีกครั้ง สำหรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ที่ได้รับในวันนี้ ทางจังหวัดจะนำไปวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด และรวบรวมรายงานกระทรวงมหาดไทย และศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป กอ.รมน.ต่อไป
กนกพิชญ์ / ข่าว
จังหวัดสตูลจัดประชุมคณะกรรมการเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดสตูล คาดจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น และเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน
ที่ห้องประชุมสำนักงานกองทุนวิจัยเพื่อท้องถิ่น อ.ละงู จ.สตูล นางสาวจรรยารักษ์ สาธิตกิจ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสตูล ร่วมประชุมหารือกับกรรมการเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดสตูล มีการแลกเปลี่ยนแนวคิด ข้อเสนอแนะระหว่างกัน เพื่อเตรียมความพร้อมชุมชนท่องเที่ยวทั้ง ๑๒ ชุมชน ที่ผ่านการคัดเลือกจากทางจังหวัด ได้พัฒนาปรับปรุงพื้นที่ของสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละชุมชนของตนเอง ให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมจังหวัดสตูลในฤดูกาลท่องเที่ยวนี้
ทั้งยังส่งเสริมให้ชุมชนสามารถจัดการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และพัฒนาไปสู่การมีมาตรฐานและยกระดับคุณภาพด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดสตูล พร้อมที่จะเข้าสู่อาเซียนในปี ๒๕๕๘ นี้อีกด้วย
ทั้งยังส่งเสริมให้ชุมชนสามารถจัดการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และพัฒนาไปสู่การมีมาตรฐานและยกระดับคุณภาพด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดสตูล พร้อมที่จะเข้าสู่อาเซียนในปี ๒๕๕๘ นี้อีกด้วย
กนกพิชญ์ / ข่าว
ส.ปชส.สตูล
ส.ปชส.สตูล
พุทธศาสนิกชนในพื้นที่นราธิวาสร่วมหล่อเทียนพรรษา ใช้มิติศาสนาสร้างความปรองดอง
วันนี้ (9 ก.ค.57) นายวีรพงค์ แก้วสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานพิธีหล่อเทียนพรรษาและสมโภชเทียนพรรษา ที่บริเวณถนนผดุงอาราม ข้างสวนกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการและพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้กิจกรรมเนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จังหวัดนราธิวาสกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึง 11 กรกฎาคม เพื่อธำรงรักษาและสืบทอดขนบธรรมเนียมอันดีงามของพุทธศาสนิกชน รวมถึงปลุกจิตสำนึกคนในชาติให้ยึดมั่นและเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา รวมถึงร่วมเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม สร้างความปรองดองและสมานฉันท์โดยใช้มิติทางศาสนา
และในวันที่ 11 และ 12 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จังหวัดนราธิวาสได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนและพุทธสาสนิกชน ร่วมประดับธงชาติและธงธรรมจักร นุ่งขาวห่มขาว บำเพ็ญธรรม รักษาศีล เจริญจิตภาวนา หรือสอดแทรกหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตามความเหมาะสมด้วย
อย่างไรก็ตามสำหรับพิธีหล่อเทียนครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้ามาดูแลความปลอดภัยกันอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมในพิธี
@import url(http://contentcenter.prd.go.th/CuteSoft_Client/CuteEditor/Load.ashx?type=style&file=SyntaxHighlighter.css);@import url(/admin/cuteeditor.css);
ทั้งนี้กิจกรรมเนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จังหวัดนราธิวาสกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึง 11 กรกฎาคม เพื่อธำรงรักษาและสืบทอดขนบธรรมเนียมอันดีงามของพุทธศาสนิกชน รวมถึงปลุกจิตสำนึกคนในชาติให้ยึดมั่นและเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา รวมถึงร่วมเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม สร้างความปรองดองและสมานฉันท์โดยใช้มิติทางศาสนา
และในวันที่ 11 และ 12 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จังหวัดนราธิวาสได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนและพุทธสาสนิกชน ร่วมประดับธงชาติและธงธรรมจักร นุ่งขาวห่มขาว บำเพ็ญธรรม รักษาศีล เจริญจิตภาวนา หรือสอดแทรกหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตามความเหมาะสมด้วย
อย่างไรก็ตามสำหรับพิธีหล่อเทียนครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้ามาดูแลความปลอดภัยกันอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมในพิธี
@import url(http://contentcenter.prd.go.th/CuteSoft_Client/CuteEditor/Load.ashx?type=style&file=SyntaxHighlighter.css);@import url(/admin/cuteeditor.css);
นำเสนอโดย โสรายา สาเรป
นักศึกษา ม.นรา ปลูกอ้อยขายช่วงเดือนรอมฎอน สร้างรายได้กว่าพันบาทต่อวัน
( 9 ก.ค. 57 ) ในเดือนรอมฎอนเป็นเดือนถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม ซึ่งในห้วงเดือนนี้มีการทำอาหารและขนมมาวางขายในท้องตลาดเพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่ถือศีลอดในพื้นที่ และในเดือนรอมฎอนนี้นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ได้ร่วมกันปลูกอ้อยพันธ์สิงคโปร์เพื่อจำหน่ายน้ำอ้อยในเดือนรอมฎอน กลุ่มนักศึกษานำความรู้จากภาควิชาเกษตรมาใช้ในการปลูกอ้อย ใส่ปุ๋ย เพื่อให้น้ำอ้อยที่ได้มีรสหวานและอร่อย ซึ่งในห้วงเดือนรอมฎอนนี้นักศึกษาได้นำน้ำอ้อยมาจำหน่ายสร้างรายได้วันละ 1,000 – 3,000 บาท
นายลาเต๊ะ มะ นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า การปลูกอ้อยเป็นการนำความรู้ที่ได้จากห้องเรียนมาใช้ในการปลูก ซึ่งนอกจากความรู้ที่ได้จากภาคปฏิบัติแล้วยังมีรายได้เสริมในการนำมาใช้จ่ายในการเรียนอีกด้วย ทำให้ไปต้องไปรบกวนครอบครัว
นายฮูมัยเดน หะยีมูซอ นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า ตนเองและเพื่อนๆในคณะรู้สึกภูมิใจมากที่ได้นำความรู้มาปฏิบัติจริง โดยมีคณะอาจารย์ในคณะให้การสนับสนุน ซึ่งเมื่อนักศึกษานำผลผลิตที่ได้จากการปลูกไปขายยิ่งภูมิใจมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองอีก
ด้านผู้ช่วยสาสตร์ ทวี บุญภิรมย์ คณะบดี คณะเกษตรศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า ทางคณะรู้สึกภูมิใจที่นักศึกษามีความคิดรึเริ่มในการหารายได้เสริม โดยนำความรู้ที่ได้จากห้องเรียนมาปรับใช้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเองให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในครั้งนี้ได้ให้นักศึกษาใช้พื้นที่ของคณะกว่า 4 ไร่ในการปลูก และนอกจากปลูกอ้อยแล้วยังมีนักศึกษาอีกหลายกลุ่มที่เลือกจะทดลองประกอบอาชีพอื่นอีก อาทิ เลี้ยงไก่ ปลูกผัก ซึ่งทุกคนเลือกตามความชอบและความถนัดของตนเอง
@import url(http://contentcenter.prd.go.th/CuteSoft_Client/CuteEditor/Load.ashx?type=style&file=SyntaxHighlighter.css);@import url(/admin/cuteeditor.css);
นายลาเต๊ะ มะ นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า การปลูกอ้อยเป็นการนำความรู้ที่ได้จากห้องเรียนมาใช้ในการปลูก ซึ่งนอกจากความรู้ที่ได้จากภาคปฏิบัติแล้วยังมีรายได้เสริมในการนำมาใช้จ่ายในการเรียนอีกด้วย ทำให้ไปต้องไปรบกวนครอบครัว
นายฮูมัยเดน หะยีมูซอ นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า ตนเองและเพื่อนๆในคณะรู้สึกภูมิใจมากที่ได้นำความรู้มาปฏิบัติจริง โดยมีคณะอาจารย์ในคณะให้การสนับสนุน ซึ่งเมื่อนักศึกษานำผลผลิตที่ได้จากการปลูกไปขายยิ่งภูมิใจมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองอีก
ด้านผู้ช่วยสาสตร์ ทวี บุญภิรมย์ คณะบดี คณะเกษตรศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า ทางคณะรู้สึกภูมิใจที่นักศึกษามีความคิดรึเริ่มในการหารายได้เสริม โดยนำความรู้ที่ได้จากห้องเรียนมาปรับใช้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเองให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในครั้งนี้ได้ให้นักศึกษาใช้พื้นที่ของคณะกว่า 4 ไร่ในการปลูก และนอกจากปลูกอ้อยแล้วยังมีนักศึกษาอีกหลายกลุ่มที่เลือกจะทดลองประกอบอาชีพอื่นอีก อาทิ เลี้ยงไก่ ปลูกผัก ซึ่งทุกคนเลือกตามความชอบและความถนัดของตนเอง
@import url(http://contentcenter.prd.go.th/CuteSoft_Client/CuteEditor/Load.ashx?type=style&file=SyntaxHighlighter.css);@import url(/admin/cuteeditor.css);
นำเสนอโดย โสรายา สาเรป
ก.แรงงาน ปลุกคนทำงาน ตั้งวงเสวนา ชี้คนไทยต้องปรับทัศนคติ เน้น ‘สู้งาน เพิ่มภาษา ไอที คิดต่าง มีวินัย’ พร้อมรองรับอาเซียน
กระทรวงแรงงาน ปลุกพลังคนทำงาน เตรียมความพร้อมประชาชนวัยแรงงานและผู้ประกอบการเข้าสู่อาเซียน ดึงภาคเอกชน นักวิชาการ นิสิต ร่วมวงเสวนา ตรวจความพร้อมคนทำงานกับอาเซียน ชี้ คนไทยต้องปรับทัศนคติ เน้น สู้งาน พัฒนาทักษะภาษา ไอที คิดต่าง รักษาระเบียบมีวินัย ปฏิรูประบบการศึกษา พร้อมรองรับประชาคมอาเซียน
นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมความพร้อมประชาชนวัยแรงงานและผู้ประกอบการในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน ว่า กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินภารกิจสำคัญหลายด้านเพื่อเตรียมความพร้อม คนทำงาน เข้าสู่ความเป็น คนทำงานของอาเซียนที่เพียบพร้อม อาทิ การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงาน การพัฒนาระบบรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานรองรับประชาคมอาเซียน การเพิ่มผลิตภาพกำลังแรงงานไทยให้ได้มาตรฐานสมรรถนะด้านภาษาและวัฒนธรรม รวมทั้ง คอมพิวเตอร์ และการบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน การจัดตั้งศูนย์อบรมเทคโนโลยีชั้นสูง การปรับปรุงมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศให้สอดคล้องกับการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมของกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนดูแลในเรื่องความมั่นคงและพัฒนาคุณภาพชีวิต ‘คนทำงาน’ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล อาทิ การเสริมสร้างระบบมาตรฐานแรงงานสู่ประชาคมอาเซียน เร่งรัดการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้างรองรับการเคลื่อนย้ายเสรีอาเซียน รวมทั้งพัฒนาบริการการประกันสังคมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยล่าสุดระหว่างวันที่ 8 - 9 กรกฎาคมนี้ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานได้จัดการประชุมระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งความคุ้มครองทางสังคมแก่ประชาคมอาเซียน
ด้าน นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารกลาง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ปาฐกถาในหัวข้อ “คนทำงานปรับตัวอย่างไร ในมิติใหม่อาเซียน” กล่าวว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมีประชากรราว 600 ล้านคน การเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนแล้วเชื่อว่าการเคลื่อนย้ายแรงงานจะเกิดขึ้นใน 7 วิชาชีพ การย้ายฐานการผลิตและการลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทันที ดังนั้นคนทำงานจะต้องปรับตัวเรื่องการพัฒนาทักษะทั้งด้านภาษา วัฒนธรรมและปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่จะเปิดรับวิธีคิดแบบใหม่ๆ มากขึ้น บางบริบทต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างจริงจัง จริงใจเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ต้องทบทวนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่สม่ำเสมอ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแผนฯ ก็ต้องเปลี่ยนด้วย เราจึงต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา บางครั้งโครงสร้างองค์กรที่มีอยู่ไม่ได้รองรับได้ทุกสถานการณ์ ในขณะที่แผนพัฒนากำลังคนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะคนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ทำอย่างไรจึงจะสร้างคนให้มีองค์ความรู้มากขึ้น และท้ายที่สุดเราจะแตกต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างไรตรงนี้เป็นความท้าทาย หากพัฒนาและปรับตัวกับสิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ขีดความสามารถของคนไทยดีขึ้นเมื่อเปิดประชาคมอาเซียน
สำหรับการเสวนาเรื่อง “คนทำงาน…พร้อมหรือยังกับอาเซียน” โดย นางนพวรรณ จุลกนิษฐ กรรมการผู้จัดการบริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยค่อนข้างตื่นตัวพอสมควรในการหางานทำโดยอาศัยเทคโนโลยีกว่า 50 % อย่างสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต ในการศึกษาข้อมูลเพื่อหางานทำ ส่วนข้อแนะนำถ้าคนไทยอยากไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียน จะต้องเริ่มต้นจากการศึกษาหาข้อมูลว่าแต่ละประเทศมีความต้องการอาชีพใดบ้าง มีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อผู้สมัครงานเองจะได้รู้ข้อมูลในการพัฒนาทักษะ ความรู้และประสบการณ์จากการฝึกงาน ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ภาษาโดยเฉพาะภาษาที่ 3 ที่นอกเหนือจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว จะทำให้มีโอกาสได้งานทำมากกว่า ขณะเดียวกันต้องทำความเข้าใจกับตลาดก่อนว่าตลาดงานมีทิศทางไหน เมื่อเราเรียนจบออกมาจึงตรงตามความต้องการของตลาดงาน ส่วนการเตรียมพร้อมเมื่อเปิดอาเซียนนั้น คนไทยต้องปรับตัวการในเรื่องไอที ภาษา การคิดที่แตกต่าง และระเบียบวินัยซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่วิธีการที่สำเร็จได้
ส่วน ดร.โชคชัย สุทธาเวศ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันในรั้วมหาวิทยาลัยนักศึกษายังไม่ตื่นตัวที่จะไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่วนใหญ่ต้องการศึกษาต่อระดับที่สูงขึ้น ขณะที่ระบบการศึกษาในปัจจุบันค่านิยมของคนไทยเข้าใจว่าการเรียนสูงๆ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองในการมีพื้นที่ยืนในสังคม นักศึกษาไปทุ่มเทกับการกวดวิชามากกว่าการตั้งใจเรียนในห้องเรียน และอาจารย์ก็ทุ่มเทกับการทำวิทยฐานะมากกว่าการสอน ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อน การเรียนในห้องเรียนจึงถูกมองข้ามไป ดังนั้นจำเป็นต้องปฏิรูประบบการศึกษาใหม่ ต้องเพิ่มจำนวนครูให้สามารถดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง สมาคมผู้ปกครองและครูแต่ละโรงเรียนต้องเข้าไปตรวจสอบและประเมินคุณภาพของโรงเรียน ส่วนการเตรียมความพร้อมของคนไทยในการเปิดอาเซียนนั้น คนไทยต้องกล้าแสดงออก กล้าเรียนรู้ เผชิญกับโลกภายนอกมากขึ้น ดังนั้นความพร้อมขึ้นอยู่กับตัวเราเองทุกคนและสภาพแวดล้อมว่าจะส่งเสริมและเอื้ออำนวยระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่ นายหริพันธ์ วงษ์สุวรรณ นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โดยส่วนตัวสำเร็จการศึกษาแล้วมีความคิดอยากไปทำงานต่างประเทศ แต่ยังขาดแรงจูงใจ เพราะในสายงานวิศวะต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนอย่างน้อย 7 ปี จึงจะสามารถเข้าไปทำงานในอาเซียนได้ ดังนั้นมองว่าการหางานทำในประเทศไทยสบายใจกว่ากัน ส่วนสาเหตุที่คนไทยมีอัตราการจ้างงานสูง เนื่องจากนิสัยคนไทยไม่ขยันทำงาน มีการเปลี่ยนงานทำค่อนข้างบ่อย เพราะเลือกงานที่มุ่งเน้นความสะดวกสบายและรายได้สูง ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนแล้วเราจำเป็นต้องขยับตัวเองให้สูงขึ้นกว่าเดิมหรือระดับที่เท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้การปรับทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้วิธีคิดใหม่ว่าการไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียนไม่ได้เป็นสถานที่ที่น่าลำบาก เช่นเดียวกันการประชาสัมพันธ์เรื่องอาเซียนเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย หรือการเตรียมตัวอย่างไรเพื่อไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียน สิ่งเหล่านี้ยังไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร
----------------------------------------------------
ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมความพร้อมประชาชนวัยแรงงานและผู้ประกอบการในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน ว่า กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินภารกิจสำคัญหลายด้านเพื่อเตรียมความพร้อม คนทำงาน เข้าสู่ความเป็น คนทำงานของอาเซียนที่เพียบพร้อม อาทิ การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงาน การพัฒนาระบบรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานรองรับประชาคมอาเซียน การเพิ่มผลิตภาพกำลังแรงงานไทยให้ได้มาตรฐานสมรรถนะด้านภาษาและวัฒนธรรม รวมทั้ง คอมพิวเตอร์ และการบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน การจัดตั้งศูนย์อบรมเทคโนโลยีชั้นสูง การปรับปรุงมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศให้สอดคล้องกับการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมของกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนดูแลในเรื่องความมั่นคงและพัฒนาคุณภาพชีวิต ‘คนทำงาน’ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล อาทิ การเสริมสร้างระบบมาตรฐานแรงงานสู่ประชาคมอาเซียน เร่งรัดการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้างรองรับการเคลื่อนย้ายเสรีอาเซียน รวมทั้งพัฒนาบริการการประกันสังคมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยล่าสุดระหว่างวันที่ 8 - 9 กรกฎาคมนี้ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานได้จัดการประชุมระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งความคุ้มครองทางสังคมแก่ประชาคมอาเซียน
ด้าน นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารกลาง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ปาฐกถาในหัวข้อ “คนทำงานปรับตัวอย่างไร ในมิติใหม่อาเซียน” กล่าวว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมีประชากรราว 600 ล้านคน การเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนแล้วเชื่อว่าการเคลื่อนย้ายแรงงานจะเกิดขึ้นใน 7 วิชาชีพ การย้ายฐานการผลิตและการลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทันที ดังนั้นคนทำงานจะต้องปรับตัวเรื่องการพัฒนาทักษะทั้งด้านภาษา วัฒนธรรมและปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่จะเปิดรับวิธีคิดแบบใหม่ๆ มากขึ้น บางบริบทต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างจริงจัง จริงใจเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ต้องทบทวนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่สม่ำเสมอ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแผนฯ ก็ต้องเปลี่ยนด้วย เราจึงต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา บางครั้งโครงสร้างองค์กรที่มีอยู่ไม่ได้รองรับได้ทุกสถานการณ์ ในขณะที่แผนพัฒนากำลังคนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะคนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ทำอย่างไรจึงจะสร้างคนให้มีองค์ความรู้มากขึ้น และท้ายที่สุดเราจะแตกต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างไรตรงนี้เป็นความท้าทาย หากพัฒนาและปรับตัวกับสิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ขีดความสามารถของคนไทยดีขึ้นเมื่อเปิดประชาคมอาเซียน
สำหรับการเสวนาเรื่อง “คนทำงาน…พร้อมหรือยังกับอาเซียน” โดย นางนพวรรณ จุลกนิษฐ กรรมการผู้จัดการบริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยค่อนข้างตื่นตัวพอสมควรในการหางานทำโดยอาศัยเทคโนโลยีกว่า 50 % อย่างสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต ในการศึกษาข้อมูลเพื่อหางานทำ ส่วนข้อแนะนำถ้าคนไทยอยากไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียน จะต้องเริ่มต้นจากการศึกษาหาข้อมูลว่าแต่ละประเทศมีความต้องการอาชีพใดบ้าง มีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อผู้สมัครงานเองจะได้รู้ข้อมูลในการพัฒนาทักษะ ความรู้และประสบการณ์จากการฝึกงาน ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ภาษาโดยเฉพาะภาษาที่ 3 ที่นอกเหนือจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว จะทำให้มีโอกาสได้งานทำมากกว่า ขณะเดียวกันต้องทำความเข้าใจกับตลาดก่อนว่าตลาดงานมีทิศทางไหน เมื่อเราเรียนจบออกมาจึงตรงตามความต้องการของตลาดงาน ส่วนการเตรียมพร้อมเมื่อเปิดอาเซียนนั้น คนไทยต้องปรับตัวการในเรื่องไอที ภาษา การคิดที่แตกต่าง และระเบียบวินัยซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่วิธีการที่สำเร็จได้
ส่วน ดร.โชคชัย สุทธาเวศ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันในรั้วมหาวิทยาลัยนักศึกษายังไม่ตื่นตัวที่จะไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่วนใหญ่ต้องการศึกษาต่อระดับที่สูงขึ้น ขณะที่ระบบการศึกษาในปัจจุบันค่านิยมของคนไทยเข้าใจว่าการเรียนสูงๆ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองในการมีพื้นที่ยืนในสังคม นักศึกษาไปทุ่มเทกับการกวดวิชามากกว่าการตั้งใจเรียนในห้องเรียน และอาจารย์ก็ทุ่มเทกับการทำวิทยฐานะมากกว่าการสอน ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อน การเรียนในห้องเรียนจึงถูกมองข้ามไป ดังนั้นจำเป็นต้องปฏิรูประบบการศึกษาใหม่ ต้องเพิ่มจำนวนครูให้สามารถดูแลนักเรียนได้ทั่วถึง สมาคมผู้ปกครองและครูแต่ละโรงเรียนต้องเข้าไปตรวจสอบและประเมินคุณภาพของโรงเรียน ส่วนการเตรียมความพร้อมของคนไทยในการเปิดอาเซียนนั้น คนไทยต้องกล้าแสดงออก กล้าเรียนรู้ เผชิญกับโลกภายนอกมากขึ้น ดังนั้นความพร้อมขึ้นอยู่กับตัวเราเองทุกคนและสภาพแวดล้อมว่าจะส่งเสริมและเอื้ออำนวยระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่ นายหริพันธ์ วงษ์สุวรรณ นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โดยส่วนตัวสำเร็จการศึกษาแล้วมีความคิดอยากไปทำงานต่างประเทศ แต่ยังขาดแรงจูงใจ เพราะในสายงานวิศวะต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนอย่างน้อย 7 ปี จึงจะสามารถเข้าไปทำงานในอาเซียนได้ ดังนั้นมองว่าการหางานทำในประเทศไทยสบายใจกว่ากัน ส่วนสาเหตุที่คนไทยมีอัตราการจ้างงานสูง เนื่องจากนิสัยคนไทยไม่ขยันทำงาน มีการเปลี่ยนงานทำค่อนข้างบ่อย เพราะเลือกงานที่มุ่งเน้นความสะดวกสบายและรายได้สูง ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนแล้วเราจำเป็นต้องขยับตัวเองให้สูงขึ้นกว่าเดิมหรือระดับที่เท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้การปรับทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้วิธีคิดใหม่ว่าการไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียนไม่ได้เป็นสถานที่ที่น่าลำบาก เช่นเดียวกันการประชาสัมพันธ์เรื่องอาเซียนเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย หรือการเตรียมตัวอย่างไรเพื่อไปทำงานในกลุ่มประเทศอาเซียน สิ่งเหล่านี้ยังไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร
----------------------------------------------------
ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
ปภ.นครศรีธรรมราช สรุปบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายจากวาตภัย 1,200 หลังในพื้นที่ 6 อำเภอ 16 ตำบล
วันนี้(9 ก.ค.57) นายเจษฎา วัฒนานุรักษ์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ตามที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเหตุลมกระโชกแรงและลมหมุนรุนแรง หรือ วาตภัย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 ตั้งแต่เวลา 04.00-12.00 น. นั้น ปรากฎว่า ส่งผลให้ทรัพย์สินประชาชนได้รับความเสียหายและเกิดความเดือดร้อน จำนวน 6 อำเภอ ประกอบด้วย ท่าศาลา ลานสกา พรหมคีรี สิชล ร่อนพิบูลย์ ขนอม รวม 16 ตำบล 66 หมู่บ้าน 1,297 ครัวเรือน 4,004 คน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 1,200 หลัง มีผู้บาดเจ็บ 2 คน โรงเรียนเสียหาย 1 แห่ง สำนักสงฆ์ 1 แห่ง ต้นยางพาราล้มหัก จำนวน 60 ไร่ ส่วนมูลค่าความเสียหายยังอยู่ระหว่างสำรวจ
หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ในส่วนของความช่วยเหลือนั้นทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอำเภอ ปภ.จังหวัด ปภ.สาขา กำลังทหาร อาสาสมัคร อาสากู้ภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลัง เข้าซ่อมแซม รื้อถอนทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย และ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเบื้องต้นแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการหึความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองทางราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และหลักเกณฑ์การจ่ายเงินทดรองราชการฯ
หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ในส่วนของความช่วยเหลือนั้นทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอำเภอ ปภ.จังหวัด ปภ.สาขา กำลังทหาร อาสาสมัคร อาสากู้ภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลัง เข้าซ่อมแซม รื้อถอนทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย และ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเบื้องต้นแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการหึความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองทางราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และหลักเกณฑ์การจ่ายเงินทดรองราชการฯ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดพิธีหล่อเทียนหลอมใจ เนื่องใจเทศกาลวันอาสาฬหบูชา-วันเข้าพรรษา ประจำปี 2557
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (9 ก.ค. 2557) ที่บริเวณลานโพธิ์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หน้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ได้มีการประกอบพิธีหล่อเทียนหลอมใจชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปี 2557 เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จัดขึ้น เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และสืบทอดประเพณีอันดีงามของจังหวัด โดยมีนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธี มีพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร/รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 ธรรมยุติ เป็นประธานสงฆ์ โดยจัดให้มีพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เพื่อบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ พิธีทางพุทธศาสนาพระสงฆ์ 9 รูปเจริญพระพุทธมนต์ ประกอบพิธีหล่อเทียนพรรษา โดยมีนายมาโนช เสนพงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ผศ.เชาวน์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชน นักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมพิธี
นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า การจัดพิธีหล่อเทียนหลอมใจในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 10 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น นับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันทำบุญ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รักษาศิลปะ จารีตประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของจังหวัดให้คงอยู่สืบไป
นายมาโนช เสนพงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดกิจกรรมต่อเนื่องปีนี้เป็นครั้งที่ 10 โดยมีการมอบเทียนพรรษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา เพื่อนำไปถวายวัดทั่วทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 730 วัด เพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย ถวายเป็นพุทธบูชาตลอดเทศกาลเข้าพรรษา
พระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 กล่าวว่า การจัดพิธีหล่อเทียนหลอมใจ นอกจากเป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามแล้ว เป็นการรวมใจทำบุญร่วมกันของพุทธศาสนิกชน ซึ่งจะสร้างความสุขกายสบายใจแก่ผู้เข้าร่วมพิธี นอกจากนี้เป็นการรวมพลังความสามัคคี สร้างความปรองดองของคนในชาติอีกทางหนึ่งด้วย
นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า การจัดพิธีหล่อเทียนหลอมใจในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 10 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น นับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันทำบุญ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รักษาศิลปะ จารีตประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของจังหวัดให้คงอยู่สืบไป
นายมาโนช เสนพงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดกิจกรรมต่อเนื่องปีนี้เป็นครั้งที่ 10 โดยมีการมอบเทียนพรรษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา เพื่อนำไปถวายวัดทั่วทั้งจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 730 วัด เพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย ถวายเป็นพุทธบูชาตลอดเทศกาลเข้าพรรษา
พระเทพวินยาภรณ์ รองเจ้าคณะภาค 16-17-18 กล่าวว่า การจัดพิธีหล่อเทียนหลอมใจ นอกจากเป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามแล้ว เป็นการรวมใจทำบุญร่วมกันของพุทธศาสนิกชน ซึ่งจะสร้างความสุขกายสบายใจแก่ผู้เข้าร่วมพิธี นอกจากนี้เป็นการรวมพลังความสามัคคี สร้างความปรองดองของคนในชาติอีกทางหนึ่งด้วย
พัฒนาชุมชนตรัง เชื่อ สินค้าโอทอป จะเป็นของขวัญ ของฝาก ที่จะมีการสอดแทรกและสื่อถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้นักท่องเที่ยวประเทศสมาชิกอาเซียนได้รับรู้หลังเปิดอาเซียน ปี 2558
เนื่องในปี 2558 ที่ประเทศไทยและอีก 9 ประเทศสมาชิกอาเซียน จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ก็เป็นอีกหน่วยงานสำคัญที่ได้มีการเตรียมความพร้อม
นายไพบูลย์ บูรณสันติ พัฒนาการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เพื่อให้การผลิตภัณฑ์สินค้า โอทอป ที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน สามารถผลิตสินค้าออกมาตรงกับความต้องการของผู้บริโภค จึงได้มีการจัดให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้เกี่ยวกับรสนิยมของผู้บริโภค และผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศอื่น ๆ ทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย รวมถึงประเทศข้างเคียง ต่างก็ให้ความสนใจในสินค้าโอทอปของไทยอย่างมาก พร้อมคาดหวังว่า ในอนาคต จะมีอัตราการขยายตัว ร้อยละ 20ตลอดปี
พัฒนาการจังหวัดตรัง ยังกล่าวอีกด้วยว่า เมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว ก็จะมีชาวต่างชาติเดินทางมาในประเทศมากขึ้น ดังนั้น จึงจะใช้โอกาสอันดีนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงภูมิปัญญาของความเป็นไทยจากสินค้าประเภทต่าง ๆ ทั้งของขวัญ ของฝาก ที่จะมีการสอดแทรกและสื่อถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้ได้รับรู้ด้วย
นายไพบูลย์ บูรณสันติ พัฒนาการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เพื่อให้การผลิตภัณฑ์สินค้า โอทอป ที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน สามารถผลิตสินค้าออกมาตรงกับความต้องการของผู้บริโภค จึงได้มีการจัดให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้เกี่ยวกับรสนิยมของผู้บริโภค และผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศอื่น ๆ ทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย รวมถึงประเทศข้างเคียง ต่างก็ให้ความสนใจในสินค้าโอทอปของไทยอย่างมาก พร้อมคาดหวังว่า ในอนาคต จะมีอัตราการขยายตัว ร้อยละ 20ตลอดปี
พัฒนาการจังหวัดตรัง ยังกล่าวอีกด้วยว่า เมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว ก็จะมีชาวต่างชาติเดินทางมาในประเทศมากขึ้น ดังนั้น จึงจะใช้โอกาสอันดีนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงภูมิปัญญาของความเป็นไทยจากสินค้าประเภทต่าง ๆ ทั้งของขวัญ ของฝาก ที่จะมีการสอดแทรกและสื่อถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้ได้รับรู้ด้วย
ขอเชิญร่วมกิจกรรมทางธรรมเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปี 2557
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชุมพรขอเชิญร่วมกิจกรรมทางธรรมเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปี 2557 ในวันที่ 11-12 ก.ค. 2557 โดยมีกิจกรรม ดังนี้
1. วัดชุมพรรังสรรค์ (พระอารามหลวง) อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร ในวันที่ 11 ก.ค. 2557 ภาคเช้า ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. และภาคค่ำ ระหว่างเวลา 19.00-21.00 น.
- กิจกรรมแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
- สวดมนต์ทำนองสรภัญญะ
- ฟังธรรมเทศนา
- พิธีเวียนเทียน
2. วัดพรุใหญ่ หมู่ที่ 6 ต.สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร วันที่ 11 ก.ค. 2557 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป
- กิจกรรมทำบุญตักบาตร (อาหารแห้ง และอาหารสด)
- กิจกรรมสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้มิติทางศาสนา
- ฟังพระธรรมเทศนา
- สมโภชเทียนพรรษา
- ถวายเทียนพรรษา
1. วัดชุมพรรังสรรค์ (พระอารามหลวง) อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร ในวันที่ 11 ก.ค. 2557 ภาคเช้า ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. และภาคค่ำ ระหว่างเวลา 19.00-21.00 น.
- กิจกรรมแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
- สวดมนต์ทำนองสรภัญญะ
- ฟังธรรมเทศนา
- พิธีเวียนเทียน
2. วัดพรุใหญ่ หมู่ที่ 6 ต.สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร วันที่ 11 ก.ค. 2557 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป
- กิจกรรมทำบุญตักบาตร (อาหารแห้ง และอาหารสด)
- กิจกรรมสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้มิติทางศาสนา
- ฟังพระธรรมเทศนา
- สมโภชเทียนพรรษา
- ถวายเทียนพรรษา
วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
คลังจังหวัดตรังจัดประชุมตัวแทนผู้ค้าสลากกินแบ่งเพื่อขอความร่วมมือจำหน่ายในราคา 80 บาท
ที่ห้องประชุมสำนักงานคลังจังหวัดตรัง ศาลากลางจังหวัดตรัง นายวรสิทธิ์ จาตุรัตน์ นักวิชาการคลัง ชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนคลังจังหวัดตรัง จัดประชุมกลุ่มผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในการขายสลากไม่ให้เกินราคา 80 บาท ที่เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป สำหรับสลากออมสินงวดวันที่ 16 ก.ค. เป็นต้นไป จากข้อสั่งการของ คสช. ในนโยบายการสลาก 80 บาท เพื่อคืนความสุขให้กับประชาชน ดดยในขณะนี้ให้ตั้งจุดขายสลากในราคา 80 บาท ทั้งในเขตกรุงเทพและต่างจังหวัด เท่าที่สามารถทำได้ ส่วนที่เหลือให้เป็นไปตามกลไกตลาด พยายามไม่ให้เกิน 90 บาท เพราะกองสลากยังมีภาระผูกพันกับผู้ได้รับอนุญาตรายเดิม ส่วนในระยะต่อไปจะให้คณะกรรมการหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อให้ราคาจำหน่ายอยู่ในเกณฑ์ ที่ควบคุมได้ทั้งหมดกับผู้ค้าทุกกลุ่ม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ขายและผู้ซื้อแต่ให้คำนึงถึงผู้ค้ารายย่อยและผู้มีรายได้น้อยในเป็นหลัก เพื่อให้เขาสามารถเลี้ยงชีพได้อย่างเหมาะสมและพอเพียง สำหรับกระแสข่าวที่จะมีการจับกุมผู้ที่ขายสลากเกินราคา 80 บาท ในขณะนี้นั้น ไม่ใช่นโยบายของ คสช. เพราะหากทำอย่างนั้นผู้ค้ารายย่อยจะเดือดร้อน ได้มีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วขอให้ระงับการจับกุมหรือการบังคับใช้กฎหมายในช่วงระนี้ก่อน โดยในส่วนของจังหวัดตรัง คลังจังหวัดได้จัดสถานที่เพื่อให้ผู้ค้าที่สมัครใจจะขายในราคา 80 บาท ได้มาขายได้ แต่กลุ่มผู้ค้าไม่สามารถเดินทางมาขายได้เนื่องจาก หลายคน เป็นผู้ที่เดินเร่ขาย หรือขายอยู่บ้าน หากต้องเดินทางมาขายที่ศาลากลางต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น กำไรที่ควรจะได้อาจจะต้องหดหาย ส่วนผู้ที่ขายอยู่กับบ้านก็ไม่มีคนดูแลบ้าน ในสุดท้ายกลุ่มผู้ค้าไม่สามารถให้ขายสลากในจุดที่กำหนดและในราคา 80 บาทได้ในขณะนี้
อำเภอกันตังจังหวัดตรังจัดพิธีรำลึกใต้รอยพระบาทพระมหาธีรราชเจ้า
ที่วัดตรังคภูมิพุทธาวาส ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง นายอมรเศรษฐ์ สุวรรณมาศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธีรำลึกใต้รอยพระบาท พระมหาธีรราชเจ้า ประจำปี พุทธศักราช 2557 เพื่อเทิดพระเกียรติฯเชิดชูสถาบัน เสริมสร้างราชวงศ์จักรี เพื่อเป็นการปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล รวมทั้งเป็นการย้อนรำลึกอดีต เมื่อครั้งที่สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จพระราชดำเนินฯและประทับแรมเมืองตรัง เมื่อครั้งตั้งเมืองที่กันตัง โดยเสด็จฯ เมืองตรัง 4 ครั้ง และได้ประทับแรมที่กันตังทั้ง 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2433 ได้เสด็จเมืองตรังที่ควนธานี และประทับแรมที่พลับพลาวัดควนธานี ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พุทธศักราช 2452 โดยเสด็จฯ ขึ้นที่ท่าเรือสะพานเจ้าฟ้ากันตัง และประทับแรมที่พระตำหนักจันทน์ ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พุทธศักราช 2458 ที่กันตัง และได้ประทับแรมที่พระตำหนักจันทน์ และครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พุทธศักราช 2460 ได้เสด็จขึ้นที่เรือกันตัง และประทับแรมที่ตำหนักจันทน์ โดย เมื่อครั้งที่พระองค์ ได้เสด็จฯเมืองตรังในครั้งที่ 3 พระองค์ท่านได้พระราชทานพระแสงราชศาสตราประจำเมืองตรัง และถือน้ำเสือป่ามณฑลภูเก็ต ณ วัดตรังคภูมิพุทธาวาส และได้ประดิษฐานพระแสงราชศาสตราประจำเมืองไว้ที่ วัดตรังคภูมิพุทธาวาส ต่อมาพระอุโบสถวัดตรังภูมิได้ชำรุดทรุดโทรม จำเป็นต้องมีการบูรณะซ่อมแซมอุโบสถหลังเดิม จึงจำเป็นต้องอัญเชิญพระแสงราชศาสตราประจำเมืองตรัง ไปประดิษฐานที่คลังจังหวัดตรัง และในทุกปี ได้มีการอัญเชิญพระแสงราชศาสตราประจำเมืองตรังมาประดิษฐานในมณฑลพิธี ณ วัดตรังคภูมิพุทธาวาส เพื่อให้ข้าราชการ ประชาชน ได้ชื่นชมพระบารมีและร่วมพิธีเฉลิมฉลองพระแสงราชศาสตรา และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติด้วย
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง จัดพิธีถวายพระพระและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.ตรัง เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
วันนี้ (4 ก.ค.) เวลา 10.00 น. นายวิฑูรย์ เหลืองดิลก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธีถวายพระพรและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.ตรัง เนื่องในวันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2557 เวลา 10.00 น. ณ ศาลาประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 7 บ้านไสใหญ่ ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬากรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิ พอ.สว.ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ซึ่งพระองค์ได้ทรงงานสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยความเอาพระทัยใส่ในการให้การรักษาแก่ผู้ป่วยผู้ด้อยโอกาส และเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน โดยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.ในวันนี้มีกิจกรรมให้การรักษาโรค ทันตกรรม การจัดกระดูก และอื่น ๆ โดยไม่คิดมูลค่าใด ๆ ทั้งสิ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)